วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Tokyo Trendy 32


โตเกียว เทรนด์ดี 32
            จากสี่แยกฮาราจูกุ เดินตามถนนโอโมเทะซันโดขึ้นไปเล็กน้อย จะเจอป้อมตำรวจอยู่ก่อนถึงโอโมเทะซันโดฮิลล์ เดินเข้าซอยข้างป้อมตำรวจไปไม่ไกลก็จะเห็นร้าน marimekko Concept Store แบรนด์ดังดีไซน์เด่นสัญชาติฟินแลนด์ ตั้งอยู่ในส่วนที่เงียบสงบท่ามกลางความพลุกพล่านของถนนโอโมเทะซันโด รอให้แฟนตัวจริงมาเยี่ยมเยียน โดยไม่ต้องไปแก่งแย่งกับใครๆ
                ใครที่เป็นแฟนของ marimekko คงรู้จักชื่อเสียงของเค้าดี โดยเฉพาะคอลเลคชั่นคลาสสิคของผ้าพิมพ์ลายทาง ขาวสลับแดง และขาวสลับน้ำเงิน และลายอื่นๆที่ออกแบบได้ถูกใจคุณสุภาพสตรีซะเหลือเกิน แต่สำหรับท่านที่ไม่ใช่แฟนตัวแม่ ผมคงต้องขอแนะนำให้ลองแวะเข้าไปดูให้ได้ ยิ่งช่วงนี้ใกล้คริสต์มาสและปีใหม่ ใครที่กำลังมองหาของขวัญให้เพื่อนหรือให้ผู้ใหญ่ ไปที่ร้าน marimekkoไม่เป็นที่ผิดหวังแน่นอนครับ ที่นี่เค้าเน้นสินค้าที่ผลิตจากผ้าพิมพ์ลายซึ่งเป็นจุดเด่นของเค้า ลวดลายต่างๆที่เค้าออกแบบมาในแต่ละปีล้วนแล้วแต่ได้รับการยกย่องและเป็นที่นิยม ด้วยการออกแบบและควบคุมการผลิตที่จะผลิตในประเทศฟินแลนด์เท่านั้น จึงทำให้สินค้าของ marimekko เป็นสินค้าที่ดูดีมีชาติตระกูล ยิ่งได้คุณแจคเกอรีน เคเนดี้มาสอยไปทีเดียว8ชุด ก็เลยยิ่งดังข้ามทวีปกันเลยทีเดียว
marimekko ก่อตั้งโดยสองสามีภรรยา Armi และ Viljo Ratia ในปี1949 โดยเริ่มดำเนินธุรกิจจากผ้าผืน ที่เสนอการผสมผสานของการออกแบบและการพิมพ์ลายบนผืนผ้าที่มีคุณภาพในนามบริษัทPrintex แต่ด้วยคนสมัยโน้นยังไม่รู้ว่าจะเอาผ้าสวยคุณภาพดีไปทำอะไร เพราะเพิ่งผ่านสงครามโลกครั้งที่2มาหมาดๆ เศรษฐกิจยุโรปก็ยังย่ำแย่อยู่  สองสามีภรรยาจึงต้องลองเอาผ้าของตัวเองไปตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าแฟชั่นโดยการออกแบบของดีไซน์เนอร์ชื่อดังของยุคนั้น คุณ Ritta Immonen และใช้แบรนด์marimekkoโปรโมท ด้วยการจัดเดินแฟชั่นโชว์ในภัตตาคารหรูจนเป็นที่ฮือฮา และก้าวเข้าสู่ ความเป็นที่นิยมจนต้องขยายไลน์สินค้าออกไป แต่ด้วยความเป็นศิลปินมากกว่าเป็นนักการตลาด marimekkoก็ประสบกับปัญหาด้านการเงินจนต้องโดนซื้อกิจการไปในปี1991 แต่ก็เพราะความเป็นบริษัทที่ขายดีไซน์บรรเจิดมาโดยตลอดประกอบกับได้ผู้บริหารมือดีจากบริษัทWorkidea คุณKirsti Paakkanen เข้ามาปรับปรุงและนำแผนธุรกิจสมัยใหม่มาใช้ เลยสามารถปรับตัวและยังคงความเป็นผู้เล่นแถวหน้าที่นำกระแสดีไซน์ใหม่ๆส่งมอบให้กับวงการอยู่เสมอ จนสามารถนำพาธุรกิจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของฟินแลนด์ไนปี1999 และขยับขยายกิจการออกไปถึง40ประเทศทั่วโลก
                สินค้าของmarimekko จะจำกัดอยู่เพียง3กลุ่มธุรกิจเท่านั้นคือ กลุ่มเสื้อผ้า(Clothing) กลุ่มสินค้าตกแต่งภายใน(Interior Decoration) และกระเป๋า(Bags) โดยสินค้าทั้ง3กลุ่มใช้วัตถุดิบเหมือนกันก็คือผ้าพิมพ์ลาย เพราะผ้าพิมพ์ลายถือเป็นหัวใจของ marimekkoมาโดยตลอด กว่า60ปีที่เปิดดำเนินธุรกิจมาmarimekko รับดีไซน์เนอร์มือดีมาเสริมทีมออกแบบอยู่ตลอดเวลา พิถีพิถันกับการเลือกใช้ผ้าที่ผลิตจากธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นผ้าฝ้าย ผ้าลินินหรือผ้าขนสัตว์ และไม่เคยหยุดพัฒนาเทคนิคการพิมพ์ลายบนผืนผ้าให้คมชัด มีสีสันสดใสคงทน เป็นมิตรกับผู้ใช้และสิ่งแวดล้อม จนสามารถยืนอยู่บนแถวหน้าของธุรกิจออกแบบลายผ้าและจำหน่ายสินค้าที่ผลิตจากผ้าพิมพ์ลายแบรนด์หนึ่งของโลกเลยทีเดียว สินค้ากลุ่มเสื้อผ้าจะเน้นที่เสื้อผ้าของคุณสุภาพสตรีมากหน่อย แต่ของคุณผู้ชายและเด็กก็มี รวมทั้งเสื้อยือลายขวาง สีขาวแดงและขาวน้ำเงินซึ่งเป็นลายคลาสสิคของแบรนด์นี้ (เหมือนกับPaul Smith ถ้าเป็นลายคลาสสิคก็ต้องลายMulti Strips) แต่ถ้าเป็นกระเป๋าก็จะมีให้เลือกตั้งแต่กระเป๋าสะพาย กระเป๋าถือ กระเป๋าใส่เครื่องสำอาง ไปจนถึงซองใส่โทรศัพท์มือถือ แต่กลุ่มสินค้าที่ผมคิดว่าน่าซื้อเป็นของฝากเพื่อนหรือผู้ใหญ่มากที่สุดก็คือสินค้าตกแต่งภายใน
                สินค้าตกแต่งภายใน จะเน้นไปที่เครื่องใช้ไม้สอยที่เป็นผ้าสำหรับส่วนต่างๆในบ้านโดยเน้นหนักไปที่ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว และ ห้องเด็ก เช่นผ้าปูโต๊ะ ผ้ารองจาน ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดมือ เป็นต้น อะไรที่พอจะนึกออกว่าควรมีในห้องเหล่านี้แล้วทำจากผ้า marimekkoเค้าเตรียมไว้ให้ท่านหมด และโดยเฉพาะเครื่องนอนของเค้ายังได้ใบรับรองว่าปราศจากสารเคมีที่เป็นอันตรายอีกด้วย นอกจากผ้าแล้ว ผลิตภัณฑ์อื่นๆที่นำลายไปเป็นองค์ประกอบก็มีด้วยไม่ว่าจะเป็น จาน ชาม ถ้วย  ฯลฯ หรือของกระจุกกระจิก จำพวกแผ่นรองเม้าส์ สมุด กระดาษเขียนจดหมาย พวงกุญแจ ก็เหมาะที่จะซื้อเป็นของฝากเหมือนกัน ถ้ากำลังคุณมองหา ของดีมีดีไซน์เด่นวัสดุเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  แวบเข้าร้านนี้มีของติดมือออกมาแน่นอนครับ
                ยังมีเมล์มาถามเรื่องอยากติดตามอ่านคอลัมน์ที่เคยลงไปแล้วทั้ง2ซี่รี่ย์คือ เล่าเรื่องเมืองญี่ปุ่น ที่เน้นเรื่องประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นอย่างย่อ และถ้าไปก็จะได้เห็น ซึ่งแนะนำสถานที่เที่ยวยอดนิยม สามารถตามอ่านได้แล้วครับที่ http://www.j-plan.co.th/webboard/

วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Tokyo Trendy 31


โตเกียว เทรนด์ดี 31
            หลังจากเพลิดเพลินกับการพาคุณผู้อ่านช้อปมาราธอนมาหลายสัปดาห์ จนมาถึงเดือนนี้เดือนสุดท้ายของปีโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ก็คงเป็นกันแบบนี้ทุกปีแหละครับ ตอนต้นปียังมีความกระตือรือร้นสูงก็ยังสนุกกับการทำงาน และพอผ่านเดือนเมษา-พฤษภาไปแล้ว วันหยุดสารพัดมันเริ่มน้อยลง ก็จะรู้สึกว่าอีกตั้งนานกว่าจะหมดปี แต่พอเข้าเดือนนี้ก็จะรู้สึกว่าปีนี้กำลังจะหมดไป มันไวเหมือนกันแฮะ บรรยากาศการเฉลิมฉลองมีให้เห็นอยู่ตลอดทั้งเดือน ตั้งแต่วันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  วันคริสต์มาส วันสิ้นปีเก่าและวันขึ้นปีใหม่ ใครหลายคนคงเตรียมตัวรับความสุขของเดือนธันวากันอย่างเต็มที่ มีแผนและมีแพลนกันมากมาย ไหนจะกินกับที่บ้าน ที่ทำงาน กับเพื่อนเก่าและกับคนรู้ใจ ไปที่ไหนๆก็เจอะเจอกับบรรยากาศของการเฉลิมฉลองแทบทั้งนั้น
                ก็เช่นเดียวกับที่ญี่ปุ่น ที่เดือนธันวาคมเป็นเดือนแห่งการเฉลิมฉลอง และมีวันสำคัญที่คล้ายกับของไทยเราก็คือวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระจักรพรรดิ ในวันที่23ธันวาคม และตามติดด้วยคริสตมาส วันสิ้นปีและปีใหม่  แต่ปีใหม่ของญี่ปุ่นนั้นค่อนข้างจะเงียบเหงาเมื่อเทียบกับหลายเมืองใหญ่ในโลก รวมทั้งเมืองไทยเราก็ยังคึกคักกว่าญี่ปุ่นหลายขุม คนญี่ปุ่นจะตื้นเต้นกับคริสต์มาสมากกว่า การประดับประดาก็จะมลังเมลืองกว่า ทุกร้านทุกห้างก็จะงัดกลยุทธดึงลูกค้าให้มาจับจ่ายใช้สอยกันอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งลดแลกแจกแถมมีครบ ใครมาญี่ปุ่นช่วงก่อนสิ้นปีถือว่ามาถูกที่ถูกเวลา เพราะนอกจากอากาศจะหนาวได้ที่และไปได้ดีกับบรรยากาศของการเฉลิมฉลองแล้ว ยังอาจจะได้ของดีในราคาพิเศษหรือได้ของรุ่นพิเศษที่ออกมาในช่วงส่งท้ายปลายปีอีกด้วย
                แต่ที่เห็นจะตื่นเต้นกว่าผู้ใหญ่คงไม่พ้นนักบริโภครุ่นเยาว์ของญี่ปุ่น ช่วงปลายปีแบบนี้ ร้านขายของเด็กทุกแห่งแน่นขนัดไปซะทุกที่ ทั้งข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้า โดยเฉพาะของเล่นจะยิ่งแน่นเป็นพิเศษ เพราะคริสต์มาสเป็นวันที่เด็กญี่ปุ่นแทบจะทุกคนรอคอยของขวัญจากลุงซานต้า  ไปที่ไหนๆในญี่ปุ่นก็จะต้องเจอต้นคริสตมาสกับกล่องของขวัญประดับประดาอยู่ทุกห้างทุกศูนย์กาค้า คอยดึงดูดสายตาของเด็กๆให้เข้ามาเยี่ยมเยียนและแน่นอนที่จะต้องได้ของขวัญติดไม้ติดมือไปซักชิ้น
                ที่โอโมเทะซันโดนี้มีร้านขายของเล่นเจ้าดังอยู่ร้านนึงชื่อร้าน KIDDY LAND ครับ เป็นร้านขายของเล่นเก่าแก่แต่ยังอยู่ยงคงกระพันมาถึงทุกวันนี้โดยไม่มีทีท่าว่าจะล้มหายตายจากไปแต่อย่างใด เพราะผมไปทีไรไม่เคยเห็นว่าจะโล่ง มีแต่คนแน่นตลอด ยิ่งบ่ายๆเย็นๆคนยิ่งแน่น และถ้าเป็นช่วงเทศกาลด้วยแล้วแน่นเหมือนกับว่าร้านเค้าแจกของฟรีเลยครับ บางทีในร้านแน่นมากจนต้องออกมานั่งคอยลูกอยู่ข้างหน้ากันเป็นแถว ดูแล้วได้อารมณ์ดีครับ
                ร้านKIDDY LANDเริ่มกิจการมาตั้งแต่ปี1946  ก็ประมาณ60กว่าปีแล้ว  แรกๆเปิดเป็นร้านหนังสือก่อนแล้วถึงจะมาขยับไลน์ขายของเล่นในภายหลัง และก็ยังเป็นผู้นำเทรนด์ในเทศกาลแห่งความสุขและความสนุกทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการโปรโมทเทศกาลวันแห่งความรัก(Saint Valentine’s Day)ให้สาวๆชาวญี่ปุ่นได้มอบของขวัญให้กับคนรักในปี1972  การจัดขบวนพาเหรดวันปล่อยผี(Halloween)เพื่อสร้างสีสันบนถนนโอโมเทะซันโดในปี1983 และการเป็นหนึ่งในผู้เริ่มจำหน่ายสัตว์เลี้ยงดิจิตอลสุดฮิต TamagochiของบริษัทBandaiในปี1997จนมียอดขายถล่มทลายฮิตติดกันงอมแงมไปทั่วโลก ปัจจุบันKIDDY LANDมีสาขาอยู่ทั่วญี่ปุ่นหลายสิบสาขา
                ร้านอะไรๆที่มาเปิดที่ถนนโอโมเทะซันโดนี่มักจะเป็น Flagship Storeแทบทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ร้านขายของเล่นอย่างKIDDY LAND  และอันที่จริงแล้วที่นี่ต้องเรียกสาขาฮาระจูกุครับ แต่ความที่มันอยู่บนถนนโอโมเทะซันโด บางคนก็เลยเรียกตามชื่อถนนที่สาขานี้ตั้งอยู่ และถ้าบอกไปว่าอยู่ฮาระจูกุ หลายคนมักไปตั้งต้นกันที่หน้าสถานีJR Harajuku กว่าจะเดินมาเจอ คุณพ่อคุณแม่ของเจ้าตัวเล็กตัวน้อยคงได้บ่นกันอุบ ทางที่ดีมาตั้งต้นที่สี่แยกฮาระจูกุตรงที่เดิม โดยหันหน้าให้ร้านGap หันหลังให้ตึกLaforet เดินขึ้นไปทางOmotesando hills ร้านKIDDY LAND จะอยู่ฝั่งตรงข้าม สังเกตได้ง่ายๆด้วยการดูป้ายหน้าร้านสีแดงตัวเบิ่อเริ่ม ที่ตอนนี้คงประดับไฟคริสต์มาสกันเต็มที่ 
ร้านนี้มีทั้งหมด6ชั้นบนดิน5ใต้ดิน1 ผมขอแนะนำให้เริ่มต้นด้วยการขึ้นลิฟท์ไปชั้น5ก่อนแล้วค่อยไล่เรียงลงมาจะได้ไม่ตกหล่นครับ บนชั้น5เป็นชั้นที่ผู้ใหญ่และวัยรุ่นชอบมากเป็นพิเศษ เพราะอุดมไปด้วยของสะสมจากอนิเมะสุดฮิต และบางทีก็จะมีตุ๊กตาBlythe แวะเวียนมาให้เห็นเหมือนกัน ถัดลงมาที่ชั้น4เป็นชั้นของสาวกดิสนีย์และมีเครื่องเขียนกับอุปกรณ์แฟนซีร่วมแจมด้วย แต่ถ้าคิดถึงSnoopyและผองเพื่อนก็ต้องที่ชั้น3 เพราะชั้น2โดนค่ายSanrioและGhibliเค้าไปเสียจองแล้ว ส่วนชั้น1เป็นชั้นทางเข้าก็เลยต้องจับฉ่ายจิปาถะพอสมควร โดยมีของเล่นฮิตๆใหม่มาเป็นตัวดึงเรียกแขกอยู่ด้านหน้า ส่วนใครที่หาตุ๊กตุ่นตุ๊กตาสำหรับเด็กไม่ว่าจะเป็นUltra man, Mask Rider, Sylvanian, Shinkansen, Licca-chan, Pokemon, Beyblade รวมทั้งเกมส์Wii, PSP หรือDS ก็ต้องลงไปชั้นใต้ดิน
ปลายปีนี้ถ้าคุณผู้อ่านมีแผนจะไปเที่ยวโตเกียวโดยมีสมาชิกอายุเยาว์ไปด้วย อย่ามัวแต่เลือกของให้กับตัวเอง พาลูกๆหลานๆไปที่KIDDY LAND แล้วคุณจะมีความสุขมากกว่า ถ้าได้เห็นเจ้าตัวเล็กยิ้มแก้มปริอุ้มของเล่นชิ้นโปรดไม่ยอมวาง

วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Tokyo Trendy 30


โตเกียว เทรนด์ดี 30
                และฝั่งตรงข้ามกับOmotesando Hills ตึกGYRE ได้เปิดให้บริการพร้อมกับแบรนด์ระดับหรูอย่าง CHANEL, BVLGARI, PLAY COMME de GARCONS, Maison Martin Margiela ร้านสุดเท่อย่างMoMA design store ก็มา และร้านอาหารระดับMichelin Star ร้านUkai-Tei ก็มาด้วย ถึงจะเล็กกว่าOmotesando Hills อยู่หลายขุม แต่ก็เล็กพริกขี้หนูที่จัดจ้านไม่แพ้ใครในย่านนี้ทั้งสิ้น
                ตึกGYRE เป็นตึกที่ออกแบบโดยบริษัทสถาปนิกจากประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยได้นำแนวคิดของการหมุนวนมาออกแบบตึกห้าชั้น โดยแต่ละชั้นบิดออกจากแนวเหมือนเวลาคุณเล่นรูบิคแล้วบิดแต่ละชั้นให้มันไม่อยู่ตรงร่องตรงรอยนั่นแหละครับ พอบิดแต่ละชั้นแล้วก็ปรับลดส่วนเกินส่วนล้ำออกไปบ้างให้มันดูลงตัวไม่เกกมะเหรกเกเรไประรานทำร้ายทัศนียภาพโดยรวมของถนนและให้เกียรติตึกข้างเคียง ประมาณถึงจะมาใหม่เก๋ไก๋กว่าแต่ก็ไม่แสดงออกเกินหน้าเกินตาจนน่าหมั่นไส้ ใครอยากรู้จักต้องรู้ลึกเข้าไปภายในถึงจะเห็นคุณงามความดี
                สำหรับท่านที่ชื่นชอบสินค้าแบรนด์เนมคงไม่ต้องพูดกันยาว แค่ชื่อชั้นของ CHANELละBVLGARIก็เป็นที่การันตีความหรูหราได้ อีกทั้งยังได้ Maison Martin Margiela มาเสริมทัพ ยิ่งทำให้ตึกGYRE มีแฟนๆและขาประจำมาเยี่ยมไม่ขาดสาย แต่สำหรับผม มักจะหมดเวลาไปกับ MoMa design store ร้านค้าที่รวบรวมผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการคัดสรรแล้วว่าสวยด้วยดีไซน์และพร้อมด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานไม่ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดจาก The Museum of Modern Arts แห่งนิวยอร์ค ที่ครอบคลุมสินค้าสารพัด ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ เครื่องครัว เครื่องใช้ในบ้าน เครื่องเขียน เตรื่องประดับ ไปจนถึงหนังสือและของเด็กเล่น มาจำหน่ายให้กับผู้มีรสนิยมในสินค้ามีดีไซน์
แต่MoMaที่ตึกGYRE โอโมเทะซันโดนี้ อาจจะมีสินค้าไม่ครบไลน์หลากหลายเท่ากับที่นิวยอร์ค แต่ก็เพียงพอให้คนที่ไม่รู้จักพอเพียงอย่างผม  เพลิดเพลินไปกับสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น โดยเฉพาะของใช้ในบ้านและที่ทำงาน ที่ยั่วน้ำลายไปซะแทบทุกชิ้น จารนัยกันไม่หวาดไม่ไหวว่ามีอะไรบ้าง ใครสนใจลองแวะเข้าไปชมในเวปไซต์ของเค้าได้ที่ www.momastore.jp รับรองว่าคุณจะเกิดอาการตาร้อนจนแทบจะต้องซื้อตั๋วเครื่องบินไปให้ได้เลยทีเดียวเชียว หมวดที่โดนใจผมมากๆก็คือเครื่องใช้ในบ้านครับ มีข้าวของที่เห็นแล้วอยากได้แทบทั้งนั้น ทั้งๆที่บางชิ้นยังไม่รู้เลยว่าจะเอาไปวางตรงไหน แต่ก็อยากจะมีไว้ซะอย่างงั้น นี่แหละครับ อิทธิพลของการออกแบบ ถ้าออกแบบได้โดนใจจริงๆไม่ต้องกลัวว่าจะขายของไม่ได้ ขอเพียงอย่าไปเลียนแบบใครเค้าเป็นใช้ได้ อย่างที่ญี่ปุ่นนี่เค้าเน้นมากเรื่องการออกแบบครับ ใครที่ประกอบอาชีพด้านนี้ ถ้าพอมีเวลาและกำลังทรัพย์ ลองหาโอกาสมาเดินหาแรงบันดาลใจที่ญี่ปุ่นดูสิครับ รับรองว่าคุณจะได้อะไรกลับไปเยอะเลยทีเดียว
เหมือนกับผมในเดือนที่แล้ว ที่ได้รับผลจากแรงบันดาลใจจนเสร็จกระเป๋าสะพายสุดฮิต PLEATS PLEASE สีดำไปเรียบร้อบโรงเรียน Issey Miyake จนได้ แต่เป็นรุ่นของสุภาพบุรุษนะครับ เดี๋ยวจะเข้าใจผมผิดเพราะคิดไปต่างๆนานา ด้วยความที่มันCool มากๆและกำลังอยู่บนกระแส โดยเฉพาะแฟนๆชาวไทยที่ตอนนี้ตามหากันแทบจะพลิกแผ่นดินกันเลย แต่หลายท่านอาจจะสงสัยว่า เอ...แล้วไอ้กระเป๋าแฟชั่นนี่มันทำไมถึงไปอยู่ใน MoMa design store ได้เล่า ก็อย่างที่เล่าให้ฟังนั่นแหละครับ ผลิตภัณฑ์ที่มีดีไซน์โดนๆและโดดเด่นเท่านั้นถึงจะมีสิทธิได้รับการคัดเลือกจากMoMaห้เข้าไปจำหน่าย และกระเป๋า PLEATS PLEASE นี้ก็ดีไซน์ได้เหลือกินครับ ที่ผมซื้อนี่ก็เพราะดีไซน์จริงๆ แต่บังเอิญว่าเป็นแบรนด์ดังของญี่ปุ่นพอดีและเป็นรุ่นหายากอีกด้วย ถ้าไม่ลองมีไว้ใช้เอง คงไม่สามารถนำมาเล่าให้คุณผู้อ่านฟังได้เป็นแน่ ยิ่งมาระยะหลังนี้ หลายทริปที่ผมมีโอกาสได้พาทัวร์ ต้องมีลูกค้าให้พาไปที่ร้าน PLEATS PLEASE แทบทุกครั้ง แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกครั้งจะได้ของครบหรือได้สีที่ชอบนะครับ เพราะคนญี่ปุ่นเองก็ฮิตกันเหลือเกิน ด้วยราคาที่ไม่สูงเกินไปประมาณใบละ20.000เยน ทำให้กระเป๋ารุ่นนี้ขายดีเป็นอย่างยิ่ง นี่เห็นว่าจะออกรุ่นใหม่มาอีก6สี ตอนต้นปีหน้า ใครตามๆกันอยู่ก็จับจองกันให้เป็นที่เรียบร้อยนะครับ จะได้ไม่ผิดหวังเหมือนรอบนี้
มีท่านผู้อ่านเมล์มาถามว่า อยากอ่านคอลัมน์ย้อนหลังจะทำอย่างไร ตอนนี้ผมได้ขออนุญาติทางหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ นำคอลัมน์มองญี่ปุ่นไปทยอยลงในเวปไซต์ของบริษัทฯ สามารถติดตามได้แล้วที่ http://www.j-plan.co.th/webboard/ ครับ



วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Tokyo Trendy 29


โตเกียว เทรนด์ดี 29
          Omotesando Hills ถือได้ว่าเป็นหน้าเป็นตาของถนนโอโมเทะซันโดยุคปัจจุบัน เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาพื้นที่และอาคารของกลุ่มโมริ (Mori Group) โดยคุณโมริ มิโนรุ (Mori Minoru) เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะด้านอาคารสูงของญี่ปุ่นเป็นผู้บุกเบิก และมีโครงการต่างๆมากมาย ที่รู้จักกันดีก็เช่นอภิมหาโครงการกลุ่มอาคาร Ropponggi Hillsที่ย่านรปปงหงิ และล่าสุดกับผลงานข้ามชาติ Shanghai World Financial Center อาคารที่สูงที่สุดของประเทศจีน
                Omotesando Hills เป็นศูนย์การค้าที่สร้างทับพื้นที่เดิมของอพาร์ทเม้นท์Doujunkai ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ปี1927โน่น ตอนจะสร้างก็ปวดหัวนิดหน่อยกับกลุ่มเจ้าของพื้นที่เดิม เพราะทางกลุ่มเดิมเค้าก็ยังอยากให้มีส่วนของที่พักอาศัยอยู่บนศูนย์การค้า ไม่อยากได้อาคารสูงจนทำให้เสียทัศนียภาพอันร่มรื่นและน่าอภิรมณ์ของถนนโอโมเทะซันโด และที่สำคัญคือต้องได้คุณอันโดะ(Tadao Ando) มาเป็นสถาปนิกให้ ในที่สุดก็ได้อาคารที่กลมกลืนรับไปความยาวของพื้นที่และถนน โดยซ่อนครึ่งหนึ่งของอาคาร6ชั้นไว้ในระดับต่ำกว่าพื้นดินและโผล่ให้เห็นในระดับสายตาอีกครึ่งหนึ่ง โดยสองชั้นบนสุดก็ออกแบบให้เป็นอพาร์ทเม้นท์ระดับไฮเอนด์ ทุกห้องหันหน้าต่างออกถนนโอโมเทะซันโด สามารถชื่นชมทัศนียภาพของถนนที่ร่มรื่นไปด้วยต้นเซลโคว่า(Japanese Zelkova) สมความตั้งใจ พื้นที่ส่วนที่เหลือก็อุทิศให้กับร้านค้าและร้านอาหารประมาณ100ร้าน เชื่อมต่อทุกชั้นด้วยทางลาดจากชั้นบนสุดลงมาถึงชั้นล่างสุด ที่คุณสามารถเดินไล่เรียงกันมาได้โดยไม่ต้องขึ้นหรือลงบันไดเลย
          และสำหรับคนที่ชอบหาของอร่อยๆทาน ในซอยด้านหลังของOmotesando Hillsมีร้านอาหารที่ไม่ควรพลาดอยู่ร้านนึง เป็นร้านขายทงคัทสึ(Tonkatsu หมูชุบเกล็ดขนมปังทอด) ที่เกือบทุกคนที่เคยทานอาหารญี่ปุ่นจะคุ้นเคยกับอาหารชนิดนี้กันเป็นอย่างดี ร้านนี้ชื่อTonkatsu Maisen มีคนไทยแวะเวียนไปชิมมาแล้วมากมาย ลูกค้ามีระดับของผมหลายท่านติดอกติดใจในความกรอบนอกแต่นุ่มในของทงคัทสึร้านนี้เป็นอย่างยิ่ง ที่สำคัญคือถึงแม้จะเป็นของทอดแต่ก็ไม่อมน้ำมันให้รู้สึกเลี่ยนแต่อย่างใด ยิ่งได้ทานกับซอสสูตรพิเศษของร้าน ก็จะเพิ่มความอร่อยนุ่มชุ่มลิ้น หรือจิ้มเกลือก็จะได้รสชาติที่ดีไปอีกแบบ แน่นอนครับว่าเมนูเด็ดของร้านนี้ก็ต้องเป็นทงคัทสึ แต่ทงคัทสึของที่นี่ก็มีให้เลือกหลากหลาย ถ้าเอาแบบพื้นๆเนื้อระดับธรรมดาก็อร่อยแล้ว แต่ต้องเลือกว่าจะเอาเนื้อส่วนไหน ใครชอบแบบมาตรฐานก็สั่ง Roast-katsu (เนื้อสันนอก ที่เวลาคุณสั่งทงคัทสึเฉยๆเค้าก็จะเสริฟคุณด้วยเนื้อสันนอกนี้แหละครับ) ส่วนใครที่ชอบเนื้อนุ่มก็ต้อง Hire-katsu (เนื้อสันใน) ถ้าอยากลองของดีขึ้นมาหน่อยก็ต้องหมูดำ(Kurobuta) หมูดำของที่นี่หรือที่ไหนๆในญี่ปุ่นก็ต้องมาจากจังหวัดคาโกะชิมะ(Kagoshima)ทางตอนใต้ปลายสุดของเกาะคิวชูโน่นแหละครับ เพราะแถบนั้นอากาศจะอุ่นกว่าทางตอนกลางและตอนบนของประเทศ ก็เลยทำให้เจ้าหมูดำนี่เจริญเติบโตได้ดี หมูนี่กลัวอากาศหนาวครับ เจอหนาวๆนี่พาลตายเอาง่ายๆ ก็เลยต้องเลี้ยงในเขตที่อุ่นที่สุดอย่างจังหวัดคาโกะชิมะนี่แหละ
                ราคาของที่นี่อาจจะสูงกว่าที่อื่นอยู่บ้าง แต่ความอร่อยนั้นผิดกันเยอะ เพราะที่Maisenนี่เค้ากล้าโฆษณาลยว่า หมูของเค้านุ่มขนาดแค่ใช้ตะเกียบฉีกก็ขาดแล้ว เนื้อหมูทุกชิ้นก่อนที่จะนำมาทอดจะต้องผ่านการกดและทุบเบาๆให้เนื้อนุ่มขึ้น สนนราคาของทงคัทสึหมูดำก็อยู่ที่ชุดละ 2,995เยน ทั้งRoast-katsu และHire-katsu ราคาเท่ากัน เสริฟพร้อมข้าว ซุปมิโสะและกล่ำปลีซอย ข้าวของที่นีเค้าใช้ข้าวญี่ปุ่นชั้นดีไม่ใช่ข้าวนำเข้าทานกับทงคัทสึและซอสของเค้าแล้วมันกลมกล่อมเป็นพิเศษ แต่ผมอยากให้ท่านลองจิ้มเกลือดูสักชิ้นนะครับ เพราะท่านจะได้รับรู้รสชาติของเนื้อหมูดำได้ดีกว่า แต่ถ้าเนื้อหมูดำระดับมาตรฐานยังไม่เป็นที่พึงพอใจ ที่นี่เค้ามีเนื้อหมูดำระดับเทพ หมูดำโอคิตะ(Okita Kurobuta)ในราคา3,990เยนไว้บริการนักชิมระดับเทพอีกด้วย
พูดถึงข้าวแล้วอดที่จะบ่นไม่ได้ครับ เวลาทานอาหารญี่ปุ่นในญี่ปุ่นแล้วเจอข้าวนำเข้ามันเสียอารมณ์หลังๆนี่เจอเยอะโดยเฉพาะร้านข้างทางหรือแม้แต่ร้านขึ้นห้างหลายร้านก็ใช้ยังข้าวนำเข้า อันนี้ถึงจะเสียอารมณ์แต่ก็ยังดีกว่าทานอาหารญี่ปุ่นกับข้าวสวยซึ่งมันเสียอรรถรส ก็เหมือนกับเวลาท่านทานส้มตำ ลาบ น้ำตกกับข้าวสวยซึ่งมันไปกันไม่ได้หรอกครับ ถึงจะหลอกตัวเองว่าพอได้ แต่มันหลอกลูกค้าไม่ได้ ใครที่เปิดร้านขายอาหารญี่ปุ่นในเมืองไทยแล้วยังใช้ข้าวสวยเสริฟลูกค้าอยู่ ขอเถอะครับ อย่างน้อยใช้ข้าวญี่ปุ่นที่ปลูกในไทยก็ยังดี เพื่อยกระดับและเพิ่มอรรถรสในการทานอาหารญี่ปุ่นในร้านของท่านให้มากขึ้น และจะเป็นการเพิ่มจำนวนลูกค้ากับให้ท่านโดยเพิ่มค่าใช้จ่ายอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
                ร้านTonkatsu Maisen ที่โอโมเทะซันโดนี้เป็นร้านต้นตำหรับ(Honten) มีแฟนแน่นขนัดทุกวันโดยเฉพาะช่วงกลางวันนี่คิวยาวตลอด อย่างน้อยต้องคอยประมาณ15-20นาที วิธีจะไปให้ถึงก็ตั้งต้นที่หน้าOmotesando Hillsนี่แหละครับ ถ้าหันหน้าเข้า ก็ให้เดินไปทางขวา พอผ่านร้านMorganแล้วก็จะเจอซอยด้านซ้ายมือ เดินเข้าซอยไปหน่อยเดียวก็จะเจอสามแยกมีร้านอาหารRoyal Hostอยู่ตรงหัวมุมด้านซ้ายมือ ให้เลี้ยวซ้ายแล้วเดินตรงไปอีกหน่อยจะเจอซอยแรกทางขวามือ เดินเข้าซอยนี้แล้วตรงไปเรื่อยๆก็จะเจอร้านMaisenอยู่ทางด้านซ้าย มีเมนูและตู้โชว์อาหารจำลองอยู่ด้านหน้า และถ้าเป็นเวลาเที่ยงก็จะมีคิวยาวจากหน้าร้านเลื้อยเข้าด้านในขึ้นไปถึงบนบันได ถ้าคิวประมาณนี้ก็รอแค่20นาที คุณก็จะอร่อยกับทงคัทสึหมูดำได้ไม่ลืมอ้วนเลยครับ
                         

วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Tokyo Trendy 28


โตเกียว เทรนด์ดี 28
          จากสี่แยกฮาราจูกุขึ้นไป ผมขอเรียกว่าย่านโอโมเทะซันโดตามชื่อถนนก็แล้วกัน เพราะบางครั้งลูกค้าอยากไปฮาราจูกุ เพื่อจะไปซื้อสินค้าแบรนด์เนม แต่หลายคนดันพาไปถนนทาเคชิตะ ตรงหน้าสถานีรถไฟJR Haraku ก็เลยเจอแต่ของวัยรุ่นแถมยังเป็นวัยแรกรุ่นเสียอีก  กว่าจะเดินไปเจอแบรนด์โปรดก็หมดเวลาที่ให้ไว้เสียแล้ว วันหน้าวันหลังถ้าอยากจะไปเดินย่านสินค้าแบรนด์เนม ก็ให้ตรงดิ่งไปที่ถนนโอโมเทะซันโดเลย รับรองว่าได้ซื้อกันหนำใจหิ้วกันไม่หวาดไม่ไหวแน่นอนครับ
                อย่างที่เคยเขียนไว้แล้วว่าถนนโอโมเทะซันโดนั้น ตัดผ่ากลางตำบล Jingu Mae ออกเป็นตอนบนและตอนล่าง มีถนนเมจิที่วิ่งขึ้นมาจากย่านชิบุยะตัดขวาง ทำให้เกิดสี่แยกฮาราจูกุขึ้น โดยมีตึกLaforet และตึกGap โดดเด่นเป็นศรีของสี่แยก และถ้าคุณยืนหันหน้าเข้าหาตึกGapและหันหลังให้กับตึกLaforet ถนนที่วิ่งขนานตัวคุณอยู่ก็คือถนนโอโมเทะซันโดนั่นเอง
                ถนนโอโมเทะซันโดนั้น มีกูรูหลายท่านให้นิยามว่า เสมือนเป็นถนนชองป์เซลิเซ่ แห่งมหานครปารีส ซึ่งถ้ามองเผินๆก็พอจะมีส่วนคล้ายกันอยู่บ้างตรงที่ เป็นถนนที่มีบาทวิถีกว้าง ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่2ข้างทาง มีร้านรวงเรียงรายอยู่ตลอด แถมเป็นแบรนด์ดังเริ่ดหรูอีกด้วย แต่สำหรับผม ชองป์เซลิเซ่คือชองป์เซลิเซ่ไม่มีใครไปเปรียบเทียบได้ และโอโมเทะซันโดก็ไม่มีใครมาเทียบได้เช่นกัน เรียกว่าต่างมีดีและมีส่วนภายนอกที่คล้ายกัน แต่หากเดินให้ลึกซึ้งแล้ว คนละเรื่องคนละอารมณ์กันเลยครับ
                ถนนโอโมเทะซันโดจากสี่แยกฮาราจูกุลงไปจะวิ่งยาวไปชนกับถนนอาโอยามะ (Aoyama Dori)
ตลอด2ข้างทางอุดมไปด้วยตึกสวยร้านเด่นแบรนด์ดังแทบทั้งสิ้น ใครไม่ชอบช้อปแค่เดินเล่นดูตึกดูคนก็เพลินตาดี ยิ่งเป็นขาช้อปด้วยแล้วหากมีเวลาน้อยกว่า2ชั่วโมง อย่าไปให้โกรธตัวเองเลย แค่เดินจากสี่แยกไปจนชนถนนอาโอยามะแล้วเดินย้อนกลับมาทางอีกฝั่งนึงก็ต้องมีครึ่งชั่วโมงแล้วครับ ยังไม่นับเข้าร้านโน้นออกร้านนี้โดยไม่ต้องเลือกไม่ต้องซื้อก็หมด2ชั่วโมงแล้ว ถ้ารวมซื้อของชอบที่ตั้งใจไว้แล้วด้วยก็ควรมีซัก3ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย แต่คำแนะนำส่วนตัวของผมคือ4ชั่วโมงครับ เพราะนอกจากร้านค้าแบรนด์ดังแล้วร้านอาหารดีๆร้านขนมอร่อยๆบนถนนเส้นนี้มีให้คุณได้ลองลิ้มชิมรสกันอีกมากร้าน นี่ยังไม่นับรวมถนนมิยูกิที่อยู่เลยไปอีก ถ้ารวมแถบโน้นไปด้วย ก็ต้องใช้เวลาทั้งวันล่ะครับถึงจะทั่ว แต่ถ้าคุณแค่อยากเดินเล่นหรือแค่อยากจะเห็น ใช้เวลาซักชั่วโมงก็คงพอครับ
                แบรนด์หรูที่ตั้งอยู่บนถนนโอโมเทะซันโดนั้น มีทั้งแบรนด์ข้ามชาติและแบรนด์ท้องถิ่นที่ชาวโลกรู้จักกันดี ไล่กันตั้งแต่ฝั่งซ้ายไปก็มี Samantha Kingz, Ralph Lauren,  Morgan, Sisley, Marina Rinaldi, Celine, Donna Karan, Fendi และ Loewe เป็นแบรนด์สุดท้ายเกือบปลายถนน แต่ถ้าเริ่มจากฝั่งขวาก็ Camper, Ninewest, Agnes B, Dior, Bruno Magli, Burberry, Paul Stuart, Louis Vuitton, Emporio Armani, Max&Co, Tods, Shu Uemura, Hanae Mori และ Gucci ที่อยู่เยื้องๆกับLoewe ปิดท้ายที่ปลายถนนเช่นกัน นี่เฉพาะที่มีร้านและหน้าร้านให้เห็นกันชัดๆบนถนนใหญ่นะครับ ยังมีที่อยู่ในซอยและบนตึกอีกเยอะแยะ เช่น Anna Sui ใกล้ปากซอยCat Street, Marimekkoในซอยหลังร้าน Ralph Lauren และอีกสารพัดแบรนด์บนตึกโอโมเทะซันโดฮิลล์ อาทิ Bottega Veneta, Dolce&Gabbana, Jimmy Choo, Yves Saint Laurent และCHANELกับBVLGARI บนตึกGYREเป็นต้น
                พูดถึงตึกOmotesando HillsและตึกGYREแล้วก็ต้องขอบอกว่า ท่านที่เป็นสถาปนิก มัณฑนากรหรือดีไซเนอร์ ไม่ควรพลาดการมาเดินบนถนนโอโมเทะซันโดเป็นอย่างยิ่ง เพราะทั้ง2ตึกที่ว่าและอีกหลายๆตึกตลอดถนน ทั้งบนถนนใหญ่และในตรอกซอกซอยนั้นควรค่าที่จะเสียเวลาไปชมเป็นอย่างยิ่ง เพราะได้สถาปนิกระดับเทพหรือบริษัทระดับโลกมาออกแบบจนเป็นที่รู้จักกันไปทั่วญี่ปุ่นและทั่วโลก ซึ่งหาชมได้ยากเหลือเกินในบ้านเรา ถือว่าเป็นของแถมในการมาเดินย่านนี้ก็ได้ หรือจะถือเป็นภาระกิจหลักก็ไม่ผิดอันใดหากคุณจะมาถนนนี้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ
                Omotesando Hills เป็นผลงานการออกแบบของสถาปนิกระดับเทพของญี่ปุ่น คุณทะดาโอะ อันโดะ(Tadao Ando) ที่ผู้คนในวงการทั้งบ้านเราบ้านเขาต่างรู้จักกันเป็นอย่างดี งานของคุณอันโดมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นด้วยคอนกรีตเปลือยผสมผสานกับวัสดุอื่นๆและกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม คุณอันโดะเริ่มงานออกแบบมาตั้งแต่ปี1973  มาเริ่มดังเอาตอนออกแบบบ้านคอนกรีตเปลือยเรียบง่ายแต่โดนเต็มๆชื่อ Azuma House ในเมืองSumiyoshi จังหวัดโอซาก้าในปี1976 จนได้รับรางวัลจากสมาคมสถาปนิกญี่ปุ่น จากนั้นมาคุณอันโดะก็สั่งสมผลงานและชื่อเสียงจนได้รับรางวัลสูงสุดสำหรับสถาปนิกคือรางวัลPritzker Architecture Price ในปี1995 นับเป็นคนญี่ปุ่นคนที่3(และก็เป็นคนเอเชียเพียงชาติเดียว)ที่ได้รับรางวัลนี้ต่อจากคุณเคนโซ ทังเกะ (Kenzo Tange) ในปี1987 และคุณฟูมิฮิโกะ มากิ (Fumihiko Maki)ในปี1973
          และผลงานชิ้นล่าสุดของคุณอันโดะที่จะสะท้านโลกอีกครั้งในเร็ววันนี้ก็คือ หอโตเกียวแห่งใหม่ (New Tokyo Tower) ที่มีกำหนดเสร็จในปลายปี2011 และจะเปิดใช้งานในช่วงใบไม้ผลิของปี2012 โดยมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Tokyo Sky Tree เสร็จเมื่อไหร่ได้เอามาเล่าให้ฟังแน่นอนครับ
               

วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Tokyo Trendy 27


โตเกียว เทรนด์ดี 27
          จากปากซอย Harajuku Street เดินตามถนนเมจิขึ้นไปอีกนิด คุณจะได้เจอกับอาณาจักรย่อมๆของ BEAMS 1ในสุดยอด Select Shopของญี่ปุ่น และก็เป็น 1ในร้านยอดนิยมของผมด้วย ทุกครั้งที่ได้ไปญี่ปุ่นเป็นต้องหาโอกาสแวะเวียนไปและเสียเงินเกือบจะทุกครั้งเหมือนกัน
                อาณาจักรของ BEAMS เริ่มต้นขึ้นในปี 1976 โดยคุณโย ชิตะฮาระ (Yo Shitahara) ด้วยวิสัยทัศน์ที่เห็นว่าเรื่องของแฟชั่นไม่ใช่เพียงแค่เสื้อผ้าที่สวมใส่เท่านั้น แต่หมายถึงทุกสิ่งในชีวิตประจำวันของคนทุกคน BEAMS จึงคัดเลือกและนำเสนอ สินค้าที่ดีมีคุณภาพและนำกระแสอยู่เสมอ โดยคำนึงถึงความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหลัก ผมเองก็เป็นหนึ่งในลูกค้าที่บ้าและพึงพอใจสินค้าของแบรนด์นี้เอามาก โดยเฉพาะเสื้อยืดครับ
 เสื้อยืดของBEAMSจะใช้แบรนด์ว่า BEAMS  T ซึ่งมีลวดลายหลากหลายให้เลือก แต่ที่โดนใจคนชอบการ์ตูนอย่างผมที่สุดก็คือรุ่น Mangart (Manga+Art) ที่มีลายการ์ตูนดังมากมายอาทิ Vagabong, Cobra, Jojo  โดยมีจุดเด่นอยู่ตรงการพิมพ์ลาย การวางตำแหน่งของลวดลายบนเสื้อที่ไม่ได้วางกลางเพียงตำแหน่งเดียว และที่สำคัญคือเนื้อผ้าของBEAMS T จะดีกว่าของแบรนด์อื่นๆรวมทั้งUT (Uniqlo T-shirt) อย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเนื้อผ้าที่บางเบาแต่ไม่ย้วย แถมรูปทรงก็กระชับและดูเป็นวัยรุ่นมากกว่า เหมาะกับการสวมใส่ในบ้านเราเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็แน่นอนที่ราคาย่อมสูงกว่า ตกราคาตัวนึงก็ประมาณ5,000เยนขึ้นไปในขณะที่ UT ราคาเริ่มต้นเพียงแค่ตัวละ1,500เยนเท่านั้น เหมาะสำหรับคนชอบคุณภาพและความต่าง เพราะเท่าที่ผมสังเกตุ เวลาใส่เสื้อBEAMSแล้วไม่เคยชนกับใครในเมืองไทยเลยครับ อาจเป็นเพราะคนไทยยังนิยมยี่ห้อที่รู้จักกันดีและเป็นที่นิยมอย่างยิ่งยวดเช่น เสื้อยืดพิมพ์ลายหัวใจรุ่นPLAY ของ Comme de Garcons ที่เห็นกันดาษดื่น ใส่ไปเดินสยามเมื่อไหร่เป็นต้องชนกันแทบจะทุกครั้ง
                สินค้าหลากหลายแบรนด์ที่ผ่านการคัดเลือกของBEAMS ถูกส่งสู่ตลาดตามบุคคลิกของสินค้าและลูกค้า โดยBEAMSได้แบ่งตลาดใหญ่ๆออกเป็น ตลาดสินค้าแฟชั่นสำหรับคุณสุภาพบุรุษ คุณสุภาพสตรี เด็ก และบริการเสริมอื่นๆเช่น รับตัดเสื้อ เช่าชุด ซักรีด ออกแบบงานแต่ง ร้านซีดี ร้านกาแฟ เรีบกว่าครอบคลุมวิถีชีวิตของคุณๆได้เกือบครบถ้วนตามคอนเซปของเค้าจริงๆ
          สำหรับที่ฮาราจูกุนี้ มีร้านBEAMS ให้คุณเลือกช้อปถึงได้ถึง7ร้านแยกออกเป็นแบรนด์ย่อยๆถึง11แบรนด์โดยมี Flagship Storeแห่งแรกของค่าย คือBEAMS Harajuku เป็นแม่ทัพใหญ่  ครอบคลุมสินค้าแฟชั่นวัยรุ่นชายตั้งแต่หัวจรดเท้า ใครที่ตามหากางเกงยีนส์ฟิตปั๋งที่มีโลโก้หัวกะโหลกยิ้ม CHEAP MONDAY จากสวีเดน คงได้สมใจที่นี่  FRED PERRYแบรนด์ผู้ดีจากสหราชอาณาจักรที่ใส่แล้วดูเนี้ยบกว่าแบรนด์ไหนๆก็มีเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีเสื้อยืดสวยๆในคอนเซปท์ Art for Everyday ให้คุณเลือกสวมใส่ได้ทุกวันได้ที่ BEAMS T เพียงแค่เดินเข้าร้านก็ตื่นเต้นแล้วครับ โดยเฉพาะราวแขวนเสื้อที่เคลื่อนวนโชว์เสื้อยืดลายเด่นยั่วน้ำลายมองเห็นแต่ไกล นอกจากเสื้อยืดรุ่นMangartแล้ว ใครที่ชอบลายออกหวานนิดๆอย่าลืมมองหาเสื้อยืดพิมพ์ลายของ Kim Songhe มาลองใส่ดู รับรองว่าต้องติดใจ ส่วนคุณผู้หญิงก็ต้องเข้าไป Ray BEAMS ที่คัดเลือกแบรนด์ทั่วโลกมาให้สาวๆได้ช้อปกันถึงกว่า150แบรนด์ในที่เดียว จำนวนชิ้นอาจไม่มากนัก ดังนั้นหากเห็นชิ้นไหนที่ถูกใจกรุณาหยิบไว้ก่อน ถ้าไม่อยากผิดหวังเหมือนที่ผมเคยลังเลและพลาดให้กับสาวน้อยที่แอบปาดหน้าเค้กไปเพียงเสี้ยววินาที สำหรับหนุ่มน้อยที่ชอบเสื้อผ้าแนวทหารหรือแนวกีฬาก็ต้อง BEAMS BOY ที่จะฉีกออกไปในสไตล์อเมริกัน และถ้าจะเน้นแต่พวกเสื้อทีมกีฬา ร้านUniform Circus BEAMSมีให้แฟนๆได้เลือกกันจนหนำใจ  แต่ถ้าไม่ชอบอะไรที่หวือหวาหรือนำเทรนด์จนเกินตัวก็ขอเรียนเชิญที่BEAMS F เหมาะสำหรับรุ่นโตขึ้นมาอีกหน่อยแต่อยากใช้ของวัยรุ่นอะไรประมาณนั้น และถ้าต้องการสินค้าที่หรูหรากว่าก็ต้องร้านVermeerist BEAMS หรือถ้าชอบแบบลำลองสบายๆก็ไปที่ BEAMS PLUS  ถ้าอยากได้แผ่นเสียงดีๆแผ่นซีดีโดนๆก็ที่ BEAMS Records และถ้าอยากดูของดีมีดีไซน์ที่ไม่ใช่เสื้อผ้า เค้าก็มีTokyo Cultuart by BEAMS ไว้สนองความต้องการ ไปฮาราจูกุย่านเดียวได้ของBEAMSเกือบครบ สมกับคอนเซปที่ว่า แฟชั่นเป็นทุกสิ่งในชีวิตจริงๆครับ

วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Tokyo Trendy 26


โตเกียว เทรนด์ดี 26
          พื้นที่ด้านในของ Jingu-mae บล็อก 3-4 นี้เรียกว่า Ura-Harajuku แปลว่า ด้านหลังของฮาราจูกุ ซึ่งโดยปกติด้านหลังของที่ไหนๆก็มักจะดูเงียบๆไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ แต่ไม่ใช่ที่ฮาราจูกุครับ เพราะด้านหลังของฮาราจูกุนี้อุดมไปด้วยร้านเล็กร้านน้อย ที่เน้นหนักไปทางแฟชั่นบนกระแสแต่จะเป็นแบรนด์ท้องถิ่นเสียเป็นส่วนใหญ่ หรือไม่ถ้าเป็นแบรนด์ที่คุ้นชื่อ ร้านเค้าก็จะเลือกแบบเลือกสีที่ดูดีมาให้แล้ว เหมาะกับวัยรุ่นตอนปลายประมาณเด็กมหาวิทยาลัยขึ้นไป เดินเล่นแถวนี้ไป ก็ดูคล้ายกับเดินเล่นแถวๆสยามอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ไม่มีรถราหนาแน่น ไม่มีโรงเรียนกวดวิชา ไม่มีธนาคารกับร้านกาแฟ ไม่มีโรงภาพยนต์ และไม่มีรถเข็นขายลูกชิ้นปิ้งหมูทอด เท่านั้นเอง
                จะเข้าไปใน Ura-Harajuku ก็ควรเริ่มต้นจากร้านGap ตรงสี่แยกฮาราจูกุนั่นแหละครับ ถ้าหันหน้าเข้าหาร้านGap และหันหลังให้ตึก Laforet จะเลือกเดินไปทางซ้ายหรือทางขวาก็ได้ทั้งนั้น แต่ถ้าเลือกเดินไปทางซ้ายตามถนนเมจิ (Meiji Dori)ขึ้นไปก็จะง่ายหน่อย เพราะคุณทำความคุ้นเคยกับร้านฝั่งตรงข้ามอย่าง H&M และ Forever 21ไปหมาดๆ คงไม่วอกแวกให้เสียความตั้งใจไปได้ง่ายกว่าที่จะเดินไปทางขวา เมื่อเดินจากร้านGap ไปทางซ้ายหน่อยเดียวคงต้องแวะเสียเวลาสักนิดกับร้าน Hanjiro บนตึกYM Square Harajuku เอาใจคนชอบแฟชั่นแนววินเทจบ้าง นอกจากเสื้อผ้าแนววินเทจในราคาที่เป็นมิตรกับผู้ซื้อและเสื้อผ้ามือสองราคาถูกใจวัยรุ่นแล้ว การจัดร้านของที่นี่ก็เก๋ไก๋ถูกใจไปด้วยโดยเฉพาะเพดานเปลือยให้เห็นโครงสร้างและแนวท่อทาสีขาวห้อยโคมระย้าอยู่ทั่วไป ราวแขวนเสื้อทำจากไม้อัดแน่นเรียงรายไปด้วยเสื้อผ้าอินเทรนด์ ผนังสีอ่อนแขวนกรอบรูปและกระจกเงาที่เข้ากันดีกับบรรยากาศของร้าน ทำให้Hanjiroกลายเป็นขวัญใจของวัยรุ่นแนววินเทจไปในระยะเวลาเพียงแค่ไม่กี่ปี และขยายสาขาออกไปทั่วญี่ปุ่นถึง19แห่ง
                พูดถึงตึก YM Square Harajuku แล้วก็ต้องบอกให้ทราบกันไว้ว่าตึกนี้เป็นของบริษัท Yoku Mokuครับ ชื่อคุ้นๆแบบนี้ใช่แล้วครับ ก็ขนมอบม้วนเป็นแท่งรูปทรงเหมือนซิการ์ที่หลายท่านรู้จักกันดีในยี่ห้อYoku Mokuนั่นแหละครับ ขนมซิการ์นี้เป็นหนึ่งในขนมอร่อยมากของญี่ปุ่นที่ขึ้นชั้นติดอันดับและมีวางจำหน่ายอยู่ตามชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้าดังๆแทบทุกห้าง รวมถึงที่ร้านขายของฝากตามสนามบินแทบทุกแห่งของญี่ปุ่นด้วย ระยะหลังเริ่มหันมาเอาดีด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ดูบ้างโดยจับมือกับบริษัทTakenakaหนึ่งในเจ้าพ่อวงการก่อสร้างของญี่ปุ่น  และก็ไปได้สวย เพราะได้พื้นที่ทำเลทองซึ่งหาได้ยากมากในปัจจุบันแบบนี้ไป ทำให้ตึก YM Square Harajuku เป็นอีกหนึ่งตึกสวยของย่านนี้
 นอกจากHanjiro บนชั้น3และ4แล้ว บนชั้น2ของตึก ยังเป็นที่ตั้งของร้าน Adidas Concept Shop ด้วย ร้านนี้ไม่ใช่ร้านรองเท้าแนวสตรีทแฟชั่น แต่เป็นร้านรองเท้าวิ่งที่มีดีกรีเป็นถึง Running Flagship Store ของ Adidas ทีเดียวเชียว ก็เลยมีดีกว่าที่อื่นๆตรงที่ ที่นี่เค้าใช้ระบบ Footscan มาวิเคราะห์ลักษณะเท้าของลูกค้าเป็นแห่งแรกของญี่ปุ่น ทำให้คุณได้รองเท้าที่เหมาะสมกับลักษณะเท้าและน้ำหนักตัวของคุณมากกว่าที่จะไปซื้อหาตามร้านทั่วไป ยังเหลืออีกร้านที่ชั้นใต้ดิน B1F ร้าน KINJI แนวเดียวกันกับ Hanjiro ถึงการแต่งร้านดูจะด้อยกว่า สินค้าเสื้อผ้ากลับไม่หนีกันเท่าไหร่ แต่ของKINJIเค้าจะเน้นหนักไปทางเสื้อผ้ามือสอง ไหนๆก็มาตึกนี้กันแล้วแวะดูทั้ง2ร้านจะเป็นไรไป ใครชอบเสื้อผ้ามือสองลองไปดูกันครับ
                จากตึกYM Square Harajukuขึ้นไปไม่ไกลจะเจอกับทางเข้าUra-Harajuku ฝั่งถนนเมจิ  สังเกตุดูได้ง่ายมากเพราะตรงหน้าปากซอยจะมีป้ายโลหะรูปโค้งเขียนไว้ว่า Harajuku Street ตรงนี้แหละครับที่ผมรู้สึกเป็นการส่วนตัวว่าคือฮาราจูกุที่แท้จริง ไม่ใช่ถนนทาเคะชิตะ (Takeshita Dori)ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เพราะตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าไปในHarajuku Streetนี้ ก็เหมือนหลุดเข้าไปในอีกโลกครับ เป็นโลกของวัยรุ่นคนละพวกคนละวัยกับในถนนทาเคะชิตะ เดินเข้าไปก็จะเจอซอยเล็กซอยน้อยแยกซ้ายแยกขวาตลอดทาง จำหลักไว้นิดนึงครับ ถ้าเดินแยกขวาเข้าไป ทุกซอยจะออกต้องมาโผล่ที่ถนนโอโมเทะซันโดครับ แต่ถ้าเดินตรงขึ้นไปเรื่อยๆก็จะไปชนกับ Cat Street ส่วนที่2 ที่ข้ามยาวมาจากชิบุยะโน่น และ Cat Street ส่วนนี้ก็มีอารมณ์คล้อยตามฝั่งฮาราจูกุ ที่แตกต่างจากฝั่งชิบุยะไปอยู่บ้าง เหมือนพี่กับน้องที่ชอบของคนละวัยยังไงยังงั้นแหละครับ