วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Tokyo Trendy 3

โตเกียว เทรนด์ดี 3
                ใครที่เป็นนักชิมตัวพ่อ คงต้องรู้จัก MICHELIN GUIDE เล่มแดง ที่รวบรวมร้านอาหารชั้นเยี่ยมและที่พักชั้นยอดเอาไว้อย่างแน่นอน และเมื่อปีที่แล้ว MICHELIN GUIDE TOKYO 2008 ก็ออกมาให้ยลโฉมเป็นครั้งแรก และปีนี้ก็ออกของปี 2009 มาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
                ใน MICHELINE GUIDE TOKYO 2009 เค้ารวบรวมร้านอาหารระดับ 3ดาวไว้ 9ร้าน ระดับ 2ดาว 36ร้าน และระดับ 1ดาวอีก 128ร้าน รวมทั้งสิ้น 173ร้านด้วยกัน แน่นอนครับที่ส่วนมากต้องเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น ส่วนอาหารต่างชาติที่นำโด่งมาก็ต้อง อาหารฝรั่งเศสครับ และที่กินซ่าย่านเดียว ก็มีร้านอาหารระดับ MICHELIN STARอยู่ถึง 36ร้านด้วยกัน เห็นมั้ยครับว่า ย่านกินซ่า เค้าซ่าเรื่องกินขนาดไหน
                นอกจากอาหารคาวแล้ว ย่านกินซ่านี่ก็ยังอุดมไปด้วยร้านขนมต่างๆ ทั้งขนมญี่ปุ่นแบบต้นตำหรับ จำพวกเซมเบะหรือโมจิใส้ถั่วแดง ใส้เกาลัด หรือแบบปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัยเช่นโมจิไอศครีม ขนมเค้กก็มีทั้งสัญชาติดั้งเดิม และลูกผสมญี่ปุ่น เรียกว่าใครเป็นคอขนมหวานล่ะก็ มากินซ่าแล้วไม่ได้ขนมติดไม้ติดมือกลับไปก็ต้องถือว่าเสียเที่ยวครับ
                ในบรรดาอาหารญี่ปุ่นทั้งหมด ผมคิดว่า ซูชิ น่าจะเป็นหนึ่งในในอาหารยอดนิยมของทั้งคนญี่ปุ่นเองและบรรดาคนชาติต่างๆที่รู้จักอาหารญี่ปุ่นนะครับ และที่กินซ่า นี่ก็อุดมไปด้วยร้านซูชิ เป็นหลักร้อยเห็นจะได้  ความที่กินซ่านั้นอยู่ห่างจาก ทสึคิจิ (Tsukiji) ตลาดค้าส่งปลาและอาหารทะเลสดที่ใหญ่ที่สุดของโตเกียว แค่เดินเพียง15นาทีเท่านั้น ก็เลยทำให้บรรดาพ่อครัวซูชิชั้นยอดต่างพากันมาเปิดร้านซูชิที่ย่านกินซ่ากันอย่างคับคั่ง และด้วยกำลังซื้อของผู้มีอันจะกินที่มาเดินจับจ่ายใช้สอย ทำให้ร้านซูชิย่านกินซ่านั้น โดดเด่นมากเป็นพิเศษ เพราะหากฝีมือดีไม่พอแล้วล่ะก็ คงไม่สามารถดึงดูดลูกค้ากระเป๋าหนักให้มาเป็นลูกค้าประจำได้อย่างแน่นอน
                ผมมีร้านซูชิร้านนึงที่อยากจะแนะนำ ก็คือร้านคิวเบ(Kyubey) อยู่ที่ กินซ่าบล็อก 8 (Ginza 8-chome) อยู่ในซอยหลังร้านขายของเล่น TOY PARKที่แนะนำไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ร้านนี้เคยได้ 1ดาวจาก MICHELIN GUIDE TOKYO 2008 ครับ  เป็นร้านซูชิตำหรับเอโดะ คือเน้นการใช้วัตถุดิบตามธรรมชาติ และดึงรสชาติของวัตถุดิบนั้นๆออกมา โดยใช้เครื่องปรุงรสชนิดต่างๆ และยังคงความสดของวัตถุดิบไว้ให้มากที่สุด ซึ่งปัจจุบันซูชิตำหรับเอโดะขนานแท้ ก็หาทานได้ยากขึ้น เพราะคนรุ่นใหม่นิยมไปทานซูชิสายพานกัน เพราะสะดวกและประหยัด แต่ก็ขาดซึ่งความปราณีตและจิตวิญญานของนักปั้นซูชิแบบดั้งเดิมไปมากครับ ที่ร้านคิวเบนี้ ยังคิดค้นการนำวัตถุดิบที่แปลกใหม่อย่างเช่น ไข่ปลาแซลมอน และหอยเม่น มาเป็นหน้าซูชิ จนได้รับความนิยมไปทั่วอีกด้วยครับ
                การจะมาทานซูชิที่ร้านคิวเบ หรืออีกหลายๆร้านในญี่ปุ่นก็ต้องทำความเข้าใจ และทำใจกันซักนิด สำหรับท่านที่ชอบทานอาหารญี่ปุ่นแบบไทยๆเราครับ เพราะท่านอาจจะไม่คุ้นเคย เนื่องจากวัฒนธรรมการทานซูชิในบ้านเรานั้น ได้มีการดัดแปลงพันธุกรรม จนต่างจากแหล่งกำเนิดไปมากพอสมควร ถึงแม้จะปรุงแต่งรูปลักษณ์ภายนอกให้ละม้ายคล้ายแล้วก็ตามที หากแต่จิตวิญญานของการปั้นซูชินั้น แทบจะไม่ปรากฏให้เห็นเลยก็ว่าได้ เพราะซูชิในเมืองไทยหลากหลายสำนัก ได้แต่เอาเครื่องซูชิที่ไม่ได้มาตรฐานมาวางไว้บนข้าวก้อนที่เย็นชืด แถมผู้สมรู้ร่วมคิด ก็พากันทานสิ่งที่เค้าเรียกว่าซูชิ นั้น กับโชยุและวาซาบิก้อนโต จนบางครั้งมองไปที่ถ้วยน้ำจิ้มแล้วชวนให้คิดว่าเป็นถ้วยสังขยาใบเตยที่มีซีอิ้วหกใส่
             
   ที่ร้านคิวเบ เค้าพิถีพิถันและใส่ใจในการปั้นซูชิมาก ที่นี่ลูกค้าจะนั่งเที่เคาน์เตอร์ทั้งหมด เมื่อท่านนั่งและสั่งชุดซูชิเรียบร้อยแล้ว เค้าจึงจะนำข้าวซูชิที่ยังอุ่นๆอยู่ พร้อมเครื่องซูชิตามที่ท่านสั่ง มาไว้ในจุดเตรียมของ ในระหว่างนั้นเค้าก็จะบริการสลัดหัวไชเท้าและสาหร่าย มาให้ท่านทานไประหว่างรอ เมื่อท่านพร้อม เค้าถึงจะเริ่มลงมือปั้นซูชิทีละคำ ในแต่ละคำก็จะใช้วัตถุดิบที่ใช้ดีงรสชาติที่แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับเครื่องซูชิแต่ละชนิด แต่ที่ผมประทับใจก็คือ เกือบทุกคำจะไม่มีการใช้วาซาบิเลยครับ ผมลองแกล้งขอวาซาบิเยอะๆดู เค้าก็ให้พร้อมทั้งรอยยิ้มและคำแนะนำว่าคำไหนควรทานอย่างไร และเชิญชวนให้เราทานในแบบที่เค้านำเสนอ ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเลยครับ ทุกคำมีรสชาติอร่อย สด และมีเอกลักษณ์เฉพาะคำจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงเครื่องซูชิระดับ โอโทโระ (เนื้อส่วนท้องที่อุดมไปด้วยไขมันของปลาทูน่า) หรือ กุ้งลายเสือที่สดขนาดยังกระดิกอยู่ตอนเข้าปาก แม้แต่ซาบะที่แสนจะธรรมดา เค้าก็ดึงรสชาติออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ว่ากันว่าพ่อครัวซูชิระดับเยี่ยม เค้าสามารถดึงรสชาติของเครื่องซูชิธรรมดาๆ ให้อร่อยได้ไม่แพ้ เครื่องซูชิระดับโอโทโระได้เลยนะครับ ซูชิชุดกลางวันขนาด10คำของที่นี่ราคาตกประมาณ 8,000เยน ถึงแม้ราคาอาจจะสูงไปบ้าง แต่รสชาตินั้นแตกต่างกับซูชิร้านธรรมดาหรือซูชิสายพานอย่างชัดเจนครับ
                คราวหน้ายังจะพาท่านตระเวนชิมในย่านกินซ่ากันต่อ แต่จะเป็นอะไรนั้น ต้องตามผมไปครับ
               
จากคอลัมน์ มองญี่ปุ่น ในหนังสือพิมพ์ Post Today ฉบับวันอาทิตย์


วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Tokyo Trendy 2

โตเกียว เทรนด์ดี 2
          หากจะเอ่ยถึงย่านที่มีชื่อเสียงของกรุงโตเกียวกันแล้วละก็ กินซ่า (GINZA) คงเป็นหนึ่งในจำนวนนั้นอย่างแน่นอน ย่านกินซ่า ถือได้ว่าเป็นย่านช้อปปิ้งที่ทันสมัยของกรุงโตเกียวมาตั้งแต่ปี 1869 โน่น นับถึงวันนี้ก็ 140ปีแล้วครับจนถึงวันนี้ ย่านกินซ่า ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบันได้อย่างกลมกลืน แต่ก็ยังรักษาเอกลักษณ์ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากในสังคมโลกยุคโลกาภิวัฒน์ครับ
                การจะไปเยี่ยมเยือนย่านกินซ่าก็แสนจะสะดวกครับ เพราะมีรถไฟฟ้าบนดินสาย JR yamanote ผ่านตรงด้านข้าง ชื่อสถานี ยูรัคโจ (Yurakucho) หรือจะนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินก็ได้นะครับ มีผ่านไปแถบนั้นตั้ง5สายด้วยกัน เรียกได้ว่าไม่ว่าคุณจะอยู่มุมไหนของโตเกียว ก็สามารถเดินทางมาย่านกินซ่าด้วยระบบขนส่งมวลชนสาธารณะได้อย่างสบายครับ
                จะเดินเล่นย่านกินซ่าให้สนุก ก็ต้องทำความเข้าใจกับลักษณะเด่นของย่านนี้กันซักนิดนึงครับ ย่านกินซ่า เค้าถูกแบ่งออกเป็นทั้งหมด 8 บล็อก (8 cho)ด้วยกัน โดยมีถนนใหญ่ที่ชื่อ Harumi-dori อยู่ระหว่าง กินซ่าบล็อกที่ 4 (Ginza 4-chome) กับ บล็อกที่ 5 (Ginza 5-chome) และมีถนนใหญ่อีกเส้นตัดกลางของ กินซ่าทั้ง 8บล็อก ชื่อถนน Ginza-dori หรืออีกชื่อก็คือ Chuo-dori  และตรงสี่แยกที่ถนนทั้ง2เส้นตัดกันนี่แหละครับ ที่เราเรียกกันติดปากว่า สี่แยกกินซ่า ตรงที่มีห้างMitsukoshi  ห้างWako  ตึกSan-ai และโชว์รูมของ Nissan อยู่กันคนละมุมของสี่แยก
                การจะเดินลัดเลาะเสาะหาร้านรวงต่างๆให้สะดวก ก็ควรที่จะทราบว่าร้านที่คุณจะไปนั้นตั้งอยู่ที่บล็อกไหน  และในแต่ละบล็อกใหญ่ก็จะมีบล็อกย่อยๆเรียงตามลำดับ เช่นร้านที่คุณจะไป ตั้งอยู่เลขที่ 4-3-7  Ginza      ก็ให้ตรงไปที่ กินซ่าบล็อกที่4 (Ginza 4-chome) แล้วก็หาบล็อกย่อยที่3 พอเจอแล้วก็หาบ้านเลขที่7 เท่านี้คุณก็หาร้านรวงต่างๆในกินซ่าได้อย่างไม่ยากจนเกินไปครับ
                ที่กินซ่านี่ เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของบรรดาขาช้อปเลยก็ว่าได้ครับ เฉพาะห้างสรรพสินค้าอย่างเดียวก็ปาเข้าไป 7-8ห้างแล้ว ยังร้านแบรนด์เนมต่างชาติที่พากันมาเปิดเรียงรายกันอีกหลายสิบแบรนด์ นี่ยังไม่นับร้านค้าดั้งเดิมของย่านกินซ่าอีกมากมาย หลายร้านที่พอจะเป็นที่รู้จักของชาวไทยเราก็เช่น ร้านเครื่องเขียน Ito-ya  ซึ่งตั้งอยู่บนถนน Ginza-dori ตรงบล็อกที่2 (Ginza 2-chome) ถัดจากห้างสรรพสินค้าMatsuyaไปหน่อยเดียว  หน้าร้านจะมีคลิปหนีบกระดาษสีแดงอันเบ้อเร่อเป็นที่สังเกตุเห็นได้ชัด ใครที่เป็นนักนิยมเครื่องเขียนและอุปกรณ์สำนักงาน เจอร้านนี้แล้วแทบไม่ต้องไปไหน เพลิดเพลินจำเริญใจอยู่ได้เป็นชั่วโมง ไล่เรียงกันตั้งแต่ชั้นบนสุดชั้นที่9 ลงมาจนถึงชั้นสุดท้ายซึ่งเป็นชั้นใต้ดิน(B1F)  ทั้งปากกาและดินสอสารพัดชนิด  กระดาษหลากสีสัน สมุดบันทึกขนาดต่างๆ กรอบรูป อุปกรณ์สำนักงาน บัตรอวยพร และอื่นๆอีกมากมาย  แต่ที่ผมชื่นชอบมากเป็นพิเศษ ก็ต้องแผนกอุปกรณ์สำนักงานครับ ค่อยๆเดินหยิบดูทีละชิ้นๆ เห็นแล้วน่าซื้อไปหมด และอดที่จะอิจฉาพนักงานออฟฟิศของเค้าไม่ได้ว่าทำไมหนอ เค้าถึงได้มีคนช่างคิดช่างแก้ปัญหา แล้วออกแบบสินค้ามาอำนวยความสะดวกในการทำงานได้อย่างใจซะเหลือเกิน แถมรูปลักษณ์ก็โดดเด่น มีทั้งแบบเท่ห์ๆสำหรับคุณผู้ชายและแบบหวานแหววสำหรับสาวออฟฟิศ
                อีกร้านนึงที่เป็นขวัญใจของนักช้อปรุ่นเยาว์ก็ต้อง ร้านTOY PARK   ที่ตึก HAKUHINKAN บนถนน Ginza-dori บล็อกที่8 (Ginza 8-chome) ผมขอแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่พาลูกๆของคุณมาที่ร้านนี้ให้จงได้เลยครับ  เพราะลูกๆของคุณจะเพลิดเพลินและมีความสุขกับ สารพัดสารพัของเล่น  ตุ๊กตุ่นตุ๊กตา เกมส์ประเทืองปัญญา เกมส์กล การ์ดพลัง ทั้งหลายทั้งปวงอัดแน่นอยู่ภายใน4ชั้นของตึกนี้
          นอกจากเรื่องช้อปแล้ว ที่กินซ่านี่ยังเป็นสวรรค์ของนักชิมด้วยนะครับ คราวหน้าผมจะพาคุณไปสำรวจร้านอาหารและร้านขนมดังๆกัน
               
               
จากคอลัมน์ มองญี่ปุ่น ในหนังสือพิมพ์ Post Today ฉบับวันอาทิตย์

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Tokyo Trendy 1

โตเกียว เทรนด์ดี
พาคุณผู้อ่านไปรู้จักจังหวัดต่างๆของญี่ปุ่นมาตั้งหลายแห่งแล้ว รวมทั้งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวไทยอีกมาก แต่กลับลืม โตเกียว ซึ่งเป็นเมืองหลวงไปจนได้
มหานครโตเกียว นั้นใหญ่พอๆกันกับ กรุงเทพมหานครของเรา คือประมาณ 600ตารางกิโลเมตร แต่ขนาดของประชากรเค้ามากกว่าเราถึง 3ต่อ2 ของเค้ามี12ล้านกว่าเกือบ13ล้าน ของเรามีแค่8ล้านกว่าเท่านั้นเอง แต่ความสะดวกสบายของเค้าช่างผิดกับของเรากันมากเหลือเกินครับ
เมื่อไม่กี่วันนี้เอง ที่กรุงเทพเพิ่งจะมีรถไฟฟ้าข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปถึงฝั่งธนบุรีเป็นสถานีแรกครับ ในขณะที่โตเกียว มีทั้งรถไฟฟ้าบนดินและใต้ดินรวมกันเกือบ 20สาย เชื่อมโครงข่ายคมนาคมในมหานครให้เกิดความสะดวกในการเดินทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ เห็นแล้วอิจฉาครับ เพราะคนของเค้าสามารถคำนวณระยะเวลาการเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้อย่างแม่นยำ จึงทำให้การนัดหมายของเค้าไม่ค่อยจะมีข้อผิดพลาด ข้ออ้างเรื่องรถติด มาสายหรือไม่ทันนัด ก็เลยไม่สามารถใช้ได้ครับ   ผิดกับชาว กทม. ที่สามารถผลักความรับผิดชอบไปให้กับการจราจรได้ทุกครั้งไป
ไหนๆพูดถึงเรื่องรถไฟฟ้าแล้ว อดแอบน้อยใจไม่ได้ครับ ก็สถานีรถไฟฟ้าของเค้าช่างสะดวกสบาย มีร้านค้ามากมาย แม้กระทั่ง ในชานชาลาของบางสถานียังสู้อุตส่าห์มีแผงขายหนังสือและขนมขบเคี้ยวให้จับจ่ายยามจำเป็น  แต่ไอ้ที่ผมแอบเคืองอยู่เล็กๆคือเรื่องห้องน้ำครับ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมท่านผู้บริหารของรถไฟฟ้าทั้งใต้ดินและบนดินของบ้านเรา ถึงได้ละเลยเรื่องที่จำเป็นแบบนี้ไปได้ก็ไม่ทราบ ลองคิดดูสิครับว่า หากผู้โดยสารของท่านเกิดความจำเป็นขึ้นมาจะทำยังไงครับ
รถไฟฟ้าในโตเกียวที่ว่ามีเกือบ20สายนั้น แบ่งแบบง่ายๆเป็น2ชนิดใหญ่ๆคือ รถไฟฟ้าที่ส่วนใหญ่จะวิ่งอยู่บนดิน กับรถไฟฟ้าที่ส่วนใหญ่วิ่งอยู่ใต้ดิน ที่บอกว่าส่วนใหญ่ก็เพราะว่าเวลามันวิ่งในเขตเมืองก็อาจจะอยู่ใต้ดิน พอวิ่งออกไปชานเมืองหรือย่านที่สิ่งปลูกสร้างไม่หนาแน่น ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมุดอยู่ใต้ดินให้สิ้นเปลืองงบประมาณ
 พระเอกของรถไฟฟ้าในโตเกียวก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก รถไฟฟ้าบนดินสาย JR Yamanote ของบริษัท East Japan Railway Company หรือ JR East ซึ่งวิ่งรอบกรุงโตเกียวเป็นวงกลม ผ่านสถานีสำคัญๆต่างๆรวมทั้งสิ้น 29สถานี โดยใช้เวลาวิ่ง1รอบประมาณ 1ชั่วโมง ใครที่คิดจะเที่ยวโตเกียวด้วยตัวเองล่ะก็ จำชื่อรถไฟฟ้าสายนี้เอาไว้ให้แม่นนะครับ เพราะมันจะพาคุณไปยังจุดหมายปลายทางที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวไทย อย่างเช่น ชินจูกุ ฮาราจูกุ ชิบุยะ ชินางาวะ ยูรัคโจ(กินซ่า) โตเกียว อากิฮาบาระ อูเอโนะ อิเคะบุคุโระได้อย่างสะดวก แถมประหยัดอีกด้วยครับ เพราะราคาเริ่มต้นที่ 150เยน เท่านั้น เค้าเริ่มให้บริการกันแต่ไก่โห่ ขบวนแรกก็ประมาณตี4ครึ่ง แล้วไปหมดเอาประมาณตีหนึ่งกว่าๆ เฉลี่ยแล้วจะวิ่งทุกๆ 2-3นาที มีผู้ใช้บริการประมาณวันละ 3ล้าน5แสนคน คิดเล่นๆก็ปีนึงแค่ 1270ล้านคนแค่นั้นเองครับ
และก็ไม่ต้องกลัวพลาดหรือกลัวหลง สำหรับท่านที่มีความรู้ด้านภาษาญี่ปุ่นเพียงน้อยนิด เพราะเดี๋ยวนี้ทุกสถานีใหญ่ เค้ามีป้ายภาษาอังกฤษบอกทุกจุด และบนรถไฟฟ้าก็ยังมีป้ายอัจฉริยะ คอยบอกคุณว่า ตอนนี้คุณอยู่สถานีไหน กำลังมุ่งหน้าไปไหน ใช้เวลาอีกเท่าไหร่ เรียกว่าถ้าคุณหมั่นตรวจสอบข้อมูลตลอดเวลา คุณจะมีโอกาสหลงน้อยมากเลยครับ
คราวหน้าผมจะพาคุณผู้อ่านนั่งรถไฟฟ้าเที่ยวไปตามย่านต่างๆของโตเกียว โดยเฉพาะย่านอินเทรนด์ อย่าลืมติดตามนะครับ
               
               
จากคอลัมน์ มองญี่ปุ่น ในหนังสือพิมพ์ Post Today ฉบับวันอาทิตย์