โตเกียว เทรนด์ดี 3
ใครที่เป็นนักชิมตัวพ่อ คงต้องรู้จัก MICHELIN GUIDE เล่มแดง ที่รวบรวมร้านอาหารชั้นเยี่ยมและที่พักชั้นยอดเอาไว้อย่างแน่นอน และเมื่อปีที่แล้ว MICHELIN GUIDE TOKYO 2008 ก็ออกมาให้ยลโฉมเป็นครั้งแรก และปีนี้ก็ออกของปี 2009 มาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
ใน MICHELINE GUIDE TOKYO 2009 เค้ารวบรวมร้านอาหารระดับ 3ดาวไว้ 9ร้าน ระดับ 2ดาว 36ร้าน และระดับ 1ดาวอีก 128ร้าน รวมทั้งสิ้น 173ร้านด้วยกัน แน่นอนครับที่ส่วนมากต้องเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น ส่วนอาหารต่างชาติที่นำโด่งมาก็ต้อง อาหารฝรั่งเศสครับ และที่กินซ่าย่านเดียว ก็มีร้านอาหารระดับ MICHELIN STARอยู่ถึง 36ร้านด้วยกัน เห็นมั้ยครับว่า ย่านกินซ่า เค้าซ่าเรื่องกินขนาดไหน
นอกจากอาหารคาวแล้ว ย่านกินซ่านี่ก็ยังอุดมไปด้วยร้านขนมต่างๆ ทั้งขนมญี่ปุ่นแบบต้นตำหรับ จำพวกเซมเบะหรือโมจิใส้ถั่วแดง ใส้เกาลัด หรือแบบปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัยเช่นโมจิไอศครีม ขนมเค้กก็มีทั้งสัญชาติดั้งเดิม และลูกผสมญี่ปุ่น เรียกว่าใครเป็นคอขนมหวานล่ะก็ มากินซ่าแล้วไม่ได้ขนมติดไม้ติดมือกลับไปก็ต้องถือว่าเสียเที่ยวครับ
ในบรรดาอาหารญี่ปุ่นทั้งหมด ผมคิดว่า ซูชิ น่าจะเป็นหนึ่งในในอาหารยอดนิยมของทั้งคนญี่ปุ่นเองและบรรดาคนชาติต่างๆที่รู้จักอาหารญี่ปุ่นนะครับ และที่กินซ่า นี่ก็อุดมไปด้วยร้านซูชิ เป็นหลักร้อยเห็นจะได้ ความที่กินซ่านั้นอยู่ห่างจาก ทสึคิจิ (Tsukiji) ตลาดค้าส่งปลาและอาหารทะเลสดที่ใหญ่ที่สุดของโตเกียว แค่เดินเพียง15นาทีเท่านั้น ก็เลยทำให้บรรดาพ่อครัวซูชิชั้นยอดต่างพากันมาเปิดร้านซูชิที่ย่านกินซ่ากันอย่างคับคั่ง และด้วยกำลังซื้อของผู้มีอันจะกินที่มาเดินจับจ่ายใช้สอย ทำให้ร้านซูชิย่านกินซ่านั้น โดดเด่นมากเป็นพิเศษ เพราะหากฝีมือดีไม่พอแล้วล่ะก็ คงไม่สามารถดึงดูดลูกค้ากระเป๋าหนักให้มาเป็นลูกค้าประจำได้อย่างแน่นอน
ผมมีร้านซูชิร้านนึงที่อยากจะแนะนำ ก็คือร้านคิวเบ(Kyubey) อยู่ที่ กินซ่าบล็อก 8 (Ginza 8-chome) อยู่ในซอยหลังร้านขายของเล่น TOY PARKที่แนะนำไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ร้านนี้เคยได้ 1ดาวจาก MICHELIN GUIDE TOKYO 2008 ครับ เป็นร้านซูชิตำหรับเอโดะ คือเน้นการใช้วัตถุดิบตามธรรมชาติ และดึงรสชาติของวัตถุดิบนั้นๆออกมา โดยใช้เครื่องปรุงรสชนิดต่างๆ และยังคงความสดของวัตถุดิบไว้ให้มากที่สุด ซึ่งปัจจุบันซูชิตำหรับเอโดะขนานแท้ ก็หาทานได้ยากขึ้น เพราะคนรุ่นใหม่นิยมไปทานซูชิสายพานกัน เพราะสะดวกและประหยัด แต่ก็ขาดซึ่งความปราณีตและจิตวิญญานของนักปั้นซูชิแบบดั้งเดิมไปมากครับ ที่ร้านคิวเบนี้ ยังคิดค้นการนำวัตถุดิบที่แปลกใหม่อย่างเช่น ไข่ปลาแซลมอน และหอยเม่น มาเป็นหน้าซูชิ จนได้รับความนิยมไปทั่วอีกด้วยครับ
การจะมาทานซูชิที่ร้านคิวเบ หรืออีกหลายๆร้านในญี่ปุ่นก็ต้องทำความเข้าใจ และทำใจกันซักนิด สำหรับท่านที่ชอบทานอาหารญี่ปุ่นแบบไทยๆเราครับ เพราะท่านอาจจะไม่คุ้นเคย เนื่องจากวัฒนธรรมการทานซูชิในบ้านเรานั้น ได้มีการดัดแปลงพันธุกรรม จนต่างจากแหล่งกำเนิดไปมากพอสมควร ถึงแม้จะปรุงแต่งรูปลักษณ์ภายนอกให้ละม้ายคล้ายแล้วก็ตามที หากแต่จิตวิญญานของการปั้นซูชินั้น แทบจะไม่ปรากฏให้เห็นเลยก็ว่าได้ เพราะซูชิในเมืองไทยหลากหลายสำนัก ได้แต่เอาเครื่องซูชิที่ไม่ได้มาตรฐานมาวางไว้บนข้าวก้อนที่เย็นชืด แถมผู้สมรู้ร่วมคิด ก็พากันทานสิ่งที่เค้าเรียกว่า”ซูชิ” นั้น กับโชยุและวาซาบิก้อนโต จนบางครั้งมองไปที่ถ้วยน้ำจิ้มแล้วชวนให้คิดว่าเป็นถ้วยสังขยาใบเตยที่มีซีอิ้วหกใส่
ที่ร้านคิวเบ เค้าพิถีพิถันและใส่ใจในการปั้นซูชิมาก ที่นี่ลูกค้าจะนั่งเที่เคาน์เตอร์ทั้งหมด เมื่อท่านนั่งและสั่งชุดซูชิเรียบร้อยแล้ว เค้าจึงจะนำข้าวซูชิที่ยังอุ่นๆอยู่ พร้อมเครื่องซูชิตามที่ท่านสั่ง มาไว้ในจุดเตรียมของ ในระหว่างนั้นเค้าก็จะบริการสลัดหัวไชเท้าและสาหร่าย มาให้ท่านทานไประหว่างรอ เมื่อท่านพร้อม เค้าถึงจะเริ่มลงมือปั้นซูชิทีละคำ ในแต่ละคำก็จะใช้วัตถุดิบที่ใช้ดีงรสชาติที่แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับเครื่องซูชิแต่ละชนิด แต่ที่ผมประทับใจก็คือ เกือบทุกคำจะไม่มีการใช้วาซาบิเลยครับ ผมลองแกล้งขอวาซาบิเยอะๆดู เค้าก็ให้พร้อมทั้งรอยยิ้มและคำแนะนำว่าคำไหนควรทานอย่างไร และเชิญชวนให้เราทานในแบบที่เค้านำเสนอ ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเลยครับ ทุกคำมีรสชาติอร่อย สด และมีเอกลักษณ์เฉพาะคำจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงเครื่องซูชิระดับ โอโทโระ (เนื้อส่วนท้องที่อุดมไปด้วยไขมันของปลาทูน่า) หรือ กุ้งลายเสือที่สดขนาดยังกระดิกอยู่ตอนเข้าปาก แม้แต่ซาบะที่แสนจะธรรมดา เค้าก็ดึงรสชาติออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ว่ากันว่าพ่อครัวซูชิระดับเยี่ยม เค้าสามารถดึงรสชาติของเครื่องซูชิธรรมดาๆ ให้อร่อยได้ไม่แพ้ เครื่องซูชิระดับโอโทโระได้เลยนะครับ ซูชิชุดกลางวันขนาด10คำของที่นี่ราคาตกประมาณ 8,000เยน ถึงแม้ราคาอาจจะสูงไปบ้าง แต่รสชาตินั้นแตกต่างกับซูชิร้านธรรมดาหรือซูชิสายพานอย่างชัดเจนครับ
คราวหน้ายังจะพาท่านตระเวนชิมในย่านกินซ่ากันต่อ แต่จะเป็นอะไรนั้น ต้องตามผมไปครับ
จากคอลัมน์ มองญี่ปุ่น ในหนังสือพิมพ์ Post Today ฉบับวันอาทิตย์