วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Tokyo Trendy 10


โตเกียว เทรนด์ดี 10
          สำหรับคอเพลงที่ไม่แนวมาก จะลองไปที่ร้านดิสก์ยูเนี่ยน (diskUNION)บนถนนอิโนะคะชิระ (INOKASHIRA DORI) ดูก็ได้ เพราะมีทั้งแผ่นใหม่เอี่ยมและแผ่นมือสอง จะเป็น JAZZ, ROCK, SKA, REGGAE, CLASSIC, SOUL, BLUE, HIPHOP หรือ R&B มีให้เลือกเยอะไปหมด จะไปก็ไม่ยาก เริ่มต้นที่เดิม จากห้าแยกชิบุยะ เดินไปทางถนนชิบุยะ (SHIBUYA STREET) ที่อยู่ด้านขวามือของตึก Q FRONT  จนเจอกับห้างเซย์บุ (SEIBU) ตึก A ให้เลี้ยวซ้ายตรงมุมห้าง ถนนด้านข้างห้างนี่แหละครับ ถนนอิโนะคะชิระ (INOKASHIRA DORI) แล้วเดินตรงขึ้นไปเรื่อยๆ ก็จะเจอสามแยกรูปตัววี ที่มีป้อมตำรวจอยู่ตรงกลางสามแยก (จำสามแยกนี้ไว้ให้แม่นนะครับ) ซึ่งเป็นป้อมตำรวจของแขวงอุดะงาวะ (Udagawa-Cho) แถวๆเซ็นเตอร์ไกเรื่อยมาจนถึงแถวนี้ล้วนแล้วแต่อยู่ในแขวงอุดะงาวะทั้งสิ้น
เมื่อท่านยืนอยู่หน้าป้อมตำรวจแล้ว ให้สังเกตุทางซ้ายมือ ก็จะเจอเห็นร้าน diskUNION อยู่แถวๆนั้นแหละครับ จะเพลิดเพลินจำเริญหูขนาดไหน ก็ต้องไปลองไปฟังกันเอง เห็นมีลูกค้าหลายท่านได้แผ่นถูกใจมาไม่น้อยเลย   อ้อ! ร้านนี้เค้ามีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ชินจูกุ และมีสาขากระจัดกระจายในย่านวัยรุ่นอย่างอิเคะบุคุโระ(IKEBUKURO)  โอจะโนะมิซึ (OCHANOMIZU)  คิจิโจจิ (KICHIJOJI)  ชิโมะคิตะซาวะ(SHIMOKITAZAWA) และนากาโนะ (NAKANO) ด้วยเช่นกัน ถนัดแถวไหนไปแถวนั้นได้เลย
                และสำหรับสาวกของเล่นโดยเฉพาะนักสะสมของเล่นเก่า ถ้ามาเดินเล่นแถวนี้เห็นทีจะพลาดไม่ได้กับ ร้านมันดะระเกะ (MANDARAKE) แหล่งรวมสินค้ามือสองที่เกี่ยวข้องกับการ์ตูนอาทิ ตุ๊กตุ่นตุ๊กตา หุ่นยนต์  หุ่นจำลอง หนังสือการ์ตูน ชุดคอสเพลย์ การ์ดสะสม และอื่นๆอีกมากจริงๆ เรียกว่าถ้าเป็นคนชอบหรือถึงขนาดคลั่งไคล้แล้วละก็ สามารถอยู่ในร้านนี้ได้หลายชั่วโมงครับ ร้านมันดะระเกะ (MANDARAKE) เป็นที่รู้จักกันดีของโอตากุ(OTAKU) หรือเหล่าบรรดาสาวกผู้นิยมในการ์ตูนและภาพยนตร์ฮีโร่สัญชาติญี่ปุ่นจำพวกยอดมนุษย์อุลตร้าแมน ไอ้มดแดง ขบวนการมนุษย์หลากสีสัน รวมไปถึงเกมส์คอมพิวเตอร์ ทั้งแบบจอใหญ่หรือจอเล็ก ต้องแวะเวียนไปเยี่ยมเยือนเสมือนเป็นบ้านที่สองของเหล่าโอตากุ โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ในย่าน นากะโนะ(NAKANO) ที่เปิดมาตั้งแต่ปี คศ.1980โน่น ปัจจุบันขยายออกไปถึง 11สาขาทั่วญี่ปุ่น เฉพาะในโตเกียวมีอยู่ 4สาขาด้วยก็คือที่ นากาโนะ ชินจูกุ ชิบุยะ และล่าสุด MANDARAKE COMPLEX ย่านอากิฮะบะระ ที่เพิ่งเปิดไปเมื่อเมษา ปีที่แล้ว
ร้านมันดะระเกะ สาขาชิบุยะ ตั้งอยู่บนถนนอิโนะคะชิระ ถ้าเริ่มต้นที่หน้าป้อมตำรวจของแขวงอุดะงาวะ ให้เดินไปทางแยกขวา เลาะขึ้นไปเรื่อยๆจะเห็นตึก BEAM อยู่ทางฝั่งซ้ายมือ บนตึกBEAM แห่งนี้มีร้านน่าสนใจหลายร้านอยู่ จำได้ว่าเคยพาลูกค้าที่เป็นนักดนตรีมาหาซื้ออุปกรณ์บนร้านที่ชั้น2 และได้อุปกรณ์ทำกินมาหลายชิ้นอยู่ ร้านมันดะระเกะ ยึดครองพื้นที่ชั้นใต้ดิน (B2F) ทั้งชั้น บรรยากาศของร้านจะดูทึมๆเล็กน้อย เหมือนเดินเข้าไปในร้านขายของเล่นยุคที่ผมยังเด็ก แบ่งช่องทางเดินออกเป็นซอยๆ กั้นด้วยตู้โชว์และชั้นวางของที่เต็มไปด้วยของเล่นจากทุกยุคสมัย ไหนจะตุ๊กตุ่นไอ้มดแดงยุคแรก (Kamen Rader) นั่นก็หน้ากากเสือ (Tiger Mask) นักมวยปล้ำสวมหน้ากากจากถ้ำเสือ โน่นก็โกลด้า(Magma Taishi) หุ่นจรวดแปลงร่างที่มีมาก่อนกันดั้มและขบวนการTRANSFORMERSหลายสิบปี  หลายชิ้นที่คุณเห็นแล้วจะต้องแอบยิ้ม และอีกหลายชิ้นที่เจ้าตัวเล็กต้องแอบร้องอื้อฮืออ้าฮาอยู่ข้างๆ ไม่ต้องแปลกใจหากคุณเจอะเจอกับใครในรุ่นราวคราวเดียวกันกับคุณ กำลังเพ่งพินิจพิจารณาของเล่นสังกะสี (Tin Toy) ที่คุ้นตา  หนุ่มใหญ่ด้านข้างอาจกำลังตัดสินใจเลือก ระหว่างเจ้าหุ่นRobby  the Robot จากภาพยนต์ Forbidden Planet ในยุค 60 กับเจ้าหมี Be@rbrick  ตุ๊กตาหมีสัญชาติญี่ปุ่นสุดฮิตของยุคปัจจุบัน และยิ่งไม่ต้องแปลกใจ ถ้าตุ๊กตาไบลท์ (Blythe)รุ่นหายาก จะยืนส่งสายตาเชิญชวนให้คุณนำเธอกลับไปประดับในคอลเล็คชั่นส่วนตัวที่บ้าน  สำหรับท่านที่มีปัญหาเรื่องแก่ก่อนวัยอันควร ผมขอแนะนำให้ท่านมาที่นี่ แล้วคุณจะเรียกคืนความเป็นเด็กกลับมาได้ โดยไม่ต้องพึ่งเครื่องสำอางค์เลย

Tokyo Trendy 9

โตเกียว เทรนด์ดี 9
          จะช้อปปิ้งที่ชิบุยะให้สนุก ก็ต้องรู้จักย่านชิบุยะพอสมควรครับ ไม่งั้นหาร้านรวงไม่เจอ จะไปใช้สูตรเดียวกันกับย่านกินซ่าก็ลำบาก เพราะที่กินซ่าเค้าแบ่งเป็นบล็อกสี่เหลี่ยมเรียงกันไป เวลาจะหาก็ง่าย แต่ที่ชิบุยะนี่มันไม่เป็นบล็อกสี่เหลี่ยม จะหาอะไรมันก็ยากขึ้นไปอีกนิด แถมถนนหนทางก็ไม่ราบเรียบ มีเนินตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย พอให้เมื่อยกันเล็กๆ เพราะฉนั้นที่ชิบุยะนี่ผมคงต้องใช้ระบบนำร่อง โดยการหาจุดหลักๆซักแห่ง แล้วก็เริ่มต้นจากจุดนั้น น่าจะง่ายกว่าครับ
                คงไม่พ้นที่จะต้องเอาห้าแยกชิบุยะนี่แหละครับเป็นจุดเริ่มต้น เพราะมันหาง่ายที่สุดและเด่นชัดที่สุดแล้ว ถ้าคุณยืนหันหลังให้สถานีชิบุยะ ตรงทางออกHachiko Exit ด้านหลังของคุณจะเป็นห้างโตคิว ซ้ายมือจะเป็นอนุสรณ์รูปปั้นของเจ้าฮาจิโกะ ขวามือก็จะมองเห็นทางรถไฟยกระดับ และตรงหน้าคุณก็จะเป็นตึก Q FRONT อาคารสูง 8ชั้นที่มีร้านสื่อบันเทิงครบวงจร TSUTAYA จับจองพื้นที่เกือบจะทั้งหมด และมีร้ากาแฟชื่อดังอย่างสตาร์บัคอยู่บนชั้นหนึ่งและชั้นสอง มองเห็นเป็นสง่า และเป็นที่ๆเหมาะจะนั่งละเลียด ชมความคึกคักของห้าแยก ชิบุยะเป็นอย่างยิ่ง
                จากจุดที่คุณยืนอยู่ ถ้ามองไกลไปทางซ้าย ก็จะเจอสามแยกที่มีตึก SHIBUYA 109 ตั้งอยู่ ถ้ามองตรงหน้าโดยยึดตึก Q FRONT เป็นหลัก ด้านซ้ายมือของตึกจะเป็นถนนเล็กๆสำหรับคนเดิน สังเกตุง่ายๆมีป้าย HMV อยู่ตรงหน้า แถวนี้เรียกว่า เซ็นเตอร์ไก (Center-Gai)  แต่ถ้าเป็นด้านขวาของตึก Q FRONT ก็จะเป็นถนนรถวิ่งชื่อ SHIBUYA STREET โดยมีตึก SHIBUYA 109-2 หรือ 109 MEN’S ซึ่งเน้นแฟชั่นของหนุ่มๆ อยู่อีกด้านของหัวถนน
                ถนนชิบุยะ หรือ SHIBUYA STREET จะเรียงรายไปด้วยห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง ในขณะที่ เซ็นเตอร์ไก (Center-Gai) จะอุดมไปด้วยร้านเล็กร้านน้อย  คุณจะเริ่มจากเซ็นเตอร์ไกแล้วไปทะลุออกถนนชิบุยะ หรือจะเริ่มจากถนนชิบุยะแล้ววนมาออกที่เซ็นเตอร์ไก ก็ได้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละท่าน แต่ถ้าหากเป็นครั้งแรก ผมเชื่อว่าท่านคงจะเลือกเดินเข้าทางเซ็นเตอร์ไกครับ เพราะมันมีสิ่งดึงดูดสายตาเยอะ โดยเฉพาะหนุ่มๆสาวๆที่หลั่งไหลเข้าไป มันชวนให้น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง
                เซ็นเตอร์ไก เป็นพื้นที่ที่อยู่ระหว่างถนนบุงกะมูระ  ( BUNKAMURA DORI ) และถนนอิโนะคะชิระ ( INOKASHIRA DORI )  โดยมีพื้นที่อีกส่วนที่เชื่อมต่อกันกับเซ็นเตอร์ไก อยู่ระหว่าง ถนนอิโนะคะชิระ           ( INOKASHIRA DORI ) กับถนนโคเอง  ( KOEN DORI ) และเมื่อบรรจบกับถนนชิบุยะที่ด้านข้าง ก็จะกลายเป็นพื้นที่สังหารรูปสี่เหลี่ยมคางหมู ใครเหยียบย่างเข้าไปแม้เพียงชั่วครู่ เป็นอันต้องเสียเงินอย่างแน่นอน
การเดินในเซ็นเตอร์ไก ให้อารมณ์ประมาณเดินสยามสแควร์บ้านเราครับ คือจะมีทั้งร้านขายเสื้อผ้า     ร้านรองเท้า ร้านขายซีดี ร้านขายเครื่องดนตรี ร้านขายของเล่น ร้านปาจิงโกะ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และอื่นๆอีกมากมาย และใครที่อยากเจอพวก Ganguro และ Yamamba ก็ที่นี่แหละครับถิ่นกำเนิดเลย สำหรับผมเคยมา   ติดใจร้านรองเท้าที่เซ็นเตอร์ไกอยู่ร้านนึง  ชื่อร้าน ASBEE ร้านที่คัดแบบและแบรนด์รองเท้าวัยรุ่นให้หลากหลายกว่าร้านABC-MART ร้านรองเท้ายอดนิยมที่มีสาขามากเหลือคณา และเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวชาวไทยอยู่พอประมาณ รองเท้าOnitsuka Tigerคู่แรกของผมก็ถอยมาจากร้าน ASBEE นี่แหละครับ ในโตเกียวมีแค่ 5 สาขาเท่านั้น และส่วนใหญ่ก็อยู่ในย่านวัยรุ่นอย่าง ชิบุยะ ฮาราจูกุ ชิโมะคิตะซาวะ หรืออิเคะบุคุโระ ใครเบื่อร้านรองเท้าซ้ำๆจำเจ จะมาลองมองหาอะไรที่ไม่เหมือนเพื่อน มาที่ร้าน ASBEE อาจได้ของดีกลับไปอวดเพื่อนครับ
                และสำหรับคอดนตรี ที่เซ็นเตอร์ไกมีร้านใหญ่อย่าง HMV ให้เดินเลือกกันอย่างไม่หวาดไม่ไหว แต่ถ้าเบื่อร้านใหญ่จะไปร้านขนาดย่อมลงมา ก็มีให้เลือกกันมากอยู่อย่างเช่น ร้าน TECHNIQUE ที่บรรดาเหล่าDJ ชอบมาหาของใหม่ๆกัน หาไม่ยากครับ จากปากทางเข้าเซ็นเตอร์ไกข้างตึก Q FRONT เดินไปเรื่อยๆจะผ่าน HMV  ทางด้านขวามือ  ผ่านร้านรองเท้า ASBEE  และ ร้านแมคโดนัลด์ทางซ้ายมือ เดินไปอีกนิดจนเกือบจะสุดซอยก็ถึงพอดี ร้านนี้เค้าเน้นแผ่นจำพวก TECHNO,  HOUSE,  TRANCE,  PROGRESSIVE, NEW WAVE,   ELECTRONICA อะไรแนวๆนี้  แต่สำหรับท่านที่ชอบแบบธรรมดาๆฟังง่ายๆ ที่นี่เค้าไม่มีบริการนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Tokyo Trendy 8

โตเกียว เทรนด์ดี 8
          ห้าแยกชิบุยะ ตั้งอยู่ตรงหน้าสถานีรถไฟชิบุยะ ถ้าจะมาให้ง่ายก็มองหาทางออก Hachiko Exit แล้วเดินตามป้ายมาเรื่อยๆ คุณก็จะพบกับทางออกที่แน่นไปด้วยผู้คน และเมื่อออกมาแล้ว แยกตรงหน้านั่นแหละครับคือ ห้าแยกชิบุยะ ที่โด่งดัง
                ในความรู้สึกของผม ผมคิดว่าในบรรดาถนนหนทางทั่วประเทศญี่ปุ่น ห้าแยกชิบุยะ เป็นหนึ่งในลำดับต้นๆที่มีคนถ่ายภาพไปมากที่สุด และเป็นหนึ่งในภาพที่คนญี่ปุ่นและคนชอบญี่ปุ่นเห็นแล้วต้องร้องอ๋อกันแทบจะทุกคน ภาพคนนับพันเดินข้ามถนนจากทุกทิศทุกทางบนทางม้าลายขนาดมหึมา ในขณะที่รถยนตร์จอดสนิทในทุกทางแยก และถ้าจะให้ดี มาตอนค่ำๆ ตอนที่ตึกต่างๆพร้อมใจกันเปิดไฟ สร้างสีสันให้กับชิบุยะมากยิ่งขึ้น นี่ยังไม่นับรวมจอทีวีขนาดยักษ์บนอาคารอีกหลายจอ ที่ร่วมด้วยช่วยกันบรรเลงจังหวะแห่งความสนุกของห้าแยกชิบุยะ ให้เป็นที่อัศจรรย์ใจของนักเที่ยวมือใหม่ ยืนยิ้มด้วยความอิ่มเอมใจ ว่าได้มาเหยียบห้าแยกมหัศจรรย์ของแท้แน่นอนแล้ว
                หลายคนพยายามให้คำจำกัดความว่าชิบุยะ เหมือนที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง แต่สำหรับผมแล้ว ชิบุยะ ไม่เหมือนที่ไหนและไม่มีที่ไหนเหมือน ชิบุยะคือชิบุยะ มีเอกลักษณ์และมีชีวิตชีวา มีตัวตนชัดเจนและให้อารมณ์ที่แตกต่างจากย่านอื่น ชิบุยะเหมาะกับวัยรุ่นโดยเฉพาะวัยรุ่นระดับมัธยมปลายจนถึงมหาวิทยาลัยขึ้นไป เพราะโดยตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของชิบุยะ ที่เป็นเสมือนชุมทางรถไฟทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงโตเกียว เชื่อมด้วยรถไฟฟ้าชานเมืองหลายสาย แต่ละสายก็จะผ่านมหาวิทยาลัยหลายแห่ง บรรดานักเรียนนักศึกษา เวลาจะไปไหนมาไหนก็จำต้องมาเปลี่ยนรถไฟกันที่ชิบุยะ  จึงทำให้ชิบุยะค่อยๆเติบโตจนกลายมาเป็นย่านวัยรุ่นสุดฮิตในที่สุด  
                ย่านชิบุยะ ได้ผ่านการหล่อหลอมจนสามารถก้าวเป็นผู้นำเทรนด์ของแฟชั่นวัยรุ่นญี่ปุ่นและส่งต่อความสำเร็จไปยังย่านข้างเคียงอย่างฮาราจูกุให้เป็นย่านแฟชั่นวัยรุ่นระดับประถมจนถึงมัธยมต้น โอโมเทะซันโดย่านแฟชั่นระดับแบรนด์ดัง และไดคันยามะสำหรับแฟชั่นแนวๆ  และได้ให้กำเนิดกลุ่มวัยรุ่นสาวๆยุคใหม่ที่ให้ความสนใจและเน้นการใช้จ่ายไปในด้านแฟชั่น ดนตรีและความบันเทิง เรียกว่า Kogal  สาวๆKogalเหล่านี้ได้สร้างเทรนด์ที่หลากหลายให้กับวงการแฟชั่นวัยรุ่นของญี่ปุ่น ที่คุ้นตาที่สุดในยุคเริ่มต้นก็คือ สาวๆผิวเข้ม นุ่งกระโปรงสั้น สวมบู้ธยาวถึงเข่า แต่งหน้าเข้ม ย้อมสีผม และถือกระเป๋าแบรนด์เนม แต่ถ้าเป็นชุดนักเรียนก็ต้องกระโปรงสั้น กับถุงเท้าหนายาวถึงเข่าและย่นเล็กน้อย  หลังจากนั้นแนวแฟชั่นมันส์ๆก็หลั่งไหลไปในบรรดาสาวญี่ปุ่นกันไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเป็น แนว Gothic  Lolita  Cosplay และล่าสุดอย่าง Ganguro และ Yamamba ที่แปลกแหวกแนวไปด้วยสไตล์การแต่งหน้าเข้มจัด ขอบตาขาวหรือดำ ทาลิปสติคสีขาว ขนตา(ปลอม)งอนยาว ย้อมผมสีสดหรือสีสว่าง ติดกิ๊ปรูปดอกไม้ชิ้นเบ้อเริ่ม สวมเครื่องประดับมากชิ้น แต่งตัวด้วยสีฉูดฉาด กระโปรงสั้น(ไม่เปลี่ยน) สวมรองเท้าส้นหนาเตอะ และพกโทรศัพท์มือถือสีหวานประดับประดาไปด้วยสติ๊กเกอร์รูปถ่าย เจอะ เจอพวกเธอเหล่านี้ได้ทั่วไปในย่านชิบุยะ  และหากคุณอยากเปลี่ยนตัวเองให้เป็นสาวGanguro ก็เพียงแค่ตรงดิ่งไปยังร้านเสื้อผ้าแนวนี้ ที่มีอยู่มากมายในย่านชิบุยะ แต่ถ้าจะเอาเร็วเข้าว่า ก็ต้องไปที่นี่เลยครับ ตึก SHIBUYA109
ตึก SHIBUYA109ป็นเสมือนสัญลักษณ์ของย่านชิบุยะมาตั้งแต่ปี คศ1979 โดยเป็นหนึ่งในอาณาจักรของ กลุ่มโตคิว(Tokyu Group) ชึ่งมีฐานบัญชาการใหญ่อยู่ทีชิบุยะ  ประมาณว่าแถวชิบุยะนี่โตคิวเค้าเป็นเจ้าถิ่น  เพราะมีเค้ามีทุกอย่างครบวงจรอยู่ที่นี่เลยครับ ทั้งรถไฟฟ้าสายโตคิว รถเมล์และรถเมล์เล็ก(ซึ่งไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับรถเมล์เล็กของบ้านเราได้เลย ทั้งคุณภาพของรถและคุณภาพของผู้ให้บริการ) ห้างสรรพสินค้าโตคิว ห้างสรรพสินค้าเฉพาะแนวอย่างTokyu Hands  โรงแรมTokyu Inn  โรงแรมExcel Tokyu และโรงแรมCerulean Tower และที่โดดเด่นที่สุดก็คือ Bunkamura ศูนย์วัฒนธรรมข้ามชาติ(Cross-culture Complex)  ที่มีทั้ง โรงมหรสพสำหรับการแสดงและดนตรีระดับโลก(Orchard Hall และ Theatre Cocoon)   โรงภาพยนตร์สำหรับภาพยนตร์คุณภาพที่หาชมได้ยาก(Le Cinema)  ห้องแสดงภาพและงานศิลปะ(The Museum และ Gallery)
สัปดาห์หน้าจะพาคุณซอกแซกตามตรอกซอกซอยของย่านชิบุยะ ตลุยช็อปตามร้านเด่นร้านดังกันให้หนำใจ ใครอดใจไม่ไหว กระเป๋าฉีกไม่รู้ตัวครับ

วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Tokyo Trendy 7

โตเกียว เทรนด์ดี 7
                ไปเที่ยวกินซ่ากันมาหลายอาทิตย์ หลายคนอาจคิดว่ากินซ่าเป็นย่านที่อินเทรนด์ที่สุดเพราะเขียนถึงเป็นย่านแรก ซึ่งก็ไม่ผิดครับเพราะถ้าจะพูดถึงสินค้าทันสมัยของแบรนด์ดังต่างๆ ไปที่กินซ่านี่เรียกได้ว่าหาได้ครบ แต่เฉพาะแบรนด์ดังและเป็นที่นิยมของผู้หลักผู้ใหญ่โดยทั่วไปนะครับ แต่หากจะพูดถึงย่านอินเทรนด์สำหรับวัยรุ่นโดยเฉพาะแล้วล่ะก็ ชิบุยะ(SHIBUYA) ต้องเป็นหนึ่งในลำดับต้นๆของพจนานุกรมแฟชั่นฉบับวัยรุ่นแดนอาทิตย์อุทัยอย่างเป็นเอกฉันท์ ผมเชื่อว่าวัยรุ่นทุกคน ขอย้ำว่า ทุกคนในโตเกียว รู้จักย่านชิบุยะ และวัยรุ่นทั่วญี่ปุ่นเกือบทุกคน รู้จักย่านชิบุยะ เพียงเท่านี้คุณผู้อ่านที่เป็นวัยรุ่นหรือยังมีหัวใจเป็นวัยรุ่น(แบบผม) คงจะสนใจขึ้นมาแล้ว
                ชิบุยะ หนึ่งใน 23เขตของมหานครโตเกียว เรียกว่า SHIBUYA-KU ซึ่งกินอาณาบริเวณเพียง 15 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น แต่กลับเป็นที่ตั้งของย่านวัยรุ่นที่สำคัญๆอย่าง ย่านฮาราจูกุ  ย่านโอโมเทะซันโด  ย่านไดคันยามะ และ ย่านชิบุยะ เป็นต้น  และเวลาวัยรุ่นญี่ปุ่นเค้าพูดถึง ชิบุยะ ก็หมายถึงเฉพาะย่านชิบุยะ  ที่มีศูนย์กลางของย่านอยู่ตรงสถานีรถไฟชิบุยะ ไม่ได้หมายถึงเขตชิบุยะทั้งหมดครับ
                สถานีชิบุยะเป็นหนึ่งในสถานีใหญ่ของกรุงโตเกียว และเป็นหนึ่งในสถานีที่มีความซับซ้อน มีรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดินผ่านไปไขว้กันหลายสาย มีทั้งรถไฟฟ้าบนดินของ JR East  3สาย คือ Yamanote Line , Saikyo Line และShonan-Shinjuku Line  รถไฟฟ้าใต้ดินอีก3 สาย Ginza Line, Hansomon Line และ Fukutoshin Line และยังมีรถไฟฟ้าบนดินของเอกชนอีก3สายได้แก่ Tokyu Toyoko Line, Tokyu Den-en-toshi Line และ Keio Inokashira Line จึงทำให้สถานีชิบุยะมีผู้คนผ่านไปมาถึงวันละประมาณ2ล้านต้นๆ พอฟัดพอเหวี่ยงกับสถานีอุเมดะที่โอซาก้า จะเป็นรองก็แค่สถานีอิเคะบุคุโระ และสถานีชินจูกุเท่านั้นเอง  (ระหว่างที่ผมเขียนต้นฉบับอยู่นี้ ก็มีเหตุการณ์รถไฟหยุดเดิน2วัน อันมาเนื่องจากการนัดหยุดงานหมู่ของพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทยบางส่วน  เมื่อได้สดับฟังเหตุแห่งการนัดหยุดงานแล้ว ผมก็สิ้นสงสัยว่าทำไมหนอ รถไฟไทยถึงได้ใช้แค่คำว่าเดินรถ ในขณะที่ญี่ปุ่นซึ่งเริ่ม เดินรถไฟ พร้อมๆกับประเทศไทย ปัจจุบันนี้รถไฟของเค้ าวิ่งไปไกลกว่าเราหลายช่วงตัวจนแทบจะบินได้อยู่แล้วครับพี่น้อง)
 ความซับซ้อนของสถานีชิบุยะนั้นเรียกได้ว่าถ้าไม่ชำนาญจริงๆ  ควรเผื่อเวลาไว้หาทางเข้าออกของชานชาลาด้วย เพราะมีชานชาลาที่ทั้งเชื่อมต่อกันและแยกออกจากกัน ทั้งบนอาคารและใต้ดิน ถ้าเอาง่ายเข้าว่าก็ไปมาโดยสาย JR Yamanote นี่แหละครับปลอดภัยสุด อาจจะอ้อมไปหน่อยวนไปบ้าง แต่เวลามาถึงที่สถานีชิบุยะแล้วออกง่ายครับ เวลาจะออกก็ให้เดินตามป้ายทางออกที่เขียนว่า Hachiko Exit เป็นทางออกที่มีผู้คนออกกันมากที่สุดเลยก็ว่าได้ พอออกมาปุ๊บก็จะเจอกับห้าแยกชิบุยะอันลือลั่น และจุดนัดพบที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงโตเกียวเลยนั่นก็คือ อนุสรณ์รูปปั้นของสุนัขชื่อฮาจิโกะ (HACHIKO)
          ฮาจิโกะ (HACHIKO) เป็นชื่อของสุนัขพันธุ์พื้นเมืองจากจังหวัดอาคิตะ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ที่ถูกนำมาเลี้ยงในโตเกียวในปีคศ.1924 โดยคุณอุเอโนะ ฮิเดะซาบุโร่ (HIDESABURO UENO) อาจารย์ในคณะเกษตรศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยโตเกียว ทุกวันอาจารย์อุเอโนะจะออกไปขึ้นรถไฟที่สถานีชิบุยะ โดยมีเจ้าตูบน้อยฮาจิโกะ เดินไปส่ง และทุกเย็นเจ้าฮาจิโกะก็จะไปดักคอยเจ้านายของมันเป็นกิจวัตร จนวันหนึ่งในเดือนพฤษภาคมของปีคศ.1925 อาจารย์อุเอโนะได้เกิดอาการเส้นโลหิตในสมองแตกในขณะที่ยังสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยและเสียชีวิตลงในที่สุด และจากเย็นวันนั้นเป็นต้นมา เจ้าฮาจิโกะก็ไม่ได้พบกับอาจารย์อุเอโนะอีกเลย มันได้เพียรกลับไปดูที่บ้านอยู่หลายครั้ง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเจ้านาย และด้วยความเคยชินมันก็มาป้วนเปี้ยนและเฝ้าคอยอาจารย์อุเอะโนะอยู่ที่สถานีชิบุยะ ให้เห็นเป็นที่แปลกใจของบรรดาผู้คนที่ผ่านไปมาแถวนั้น จนมีคนติดตามและสืบเสาะจนพบกับเรื่องราวอันน่าประทับใจของเจ้าฮาจิโกะ และเป็นที่เลื่องลือถึงความซื่อสัตย์ของมัน  เจ้าฮาจิโกะได้เฝ้ารอการกลับมาของอาจารย์อุเอโนะอยู่ถึง10ปี จนกระทั่งมันได้ตายจากโลกนี้ไปในปีคศ.1935 คงเหลือไว้แต่ร่างที่ถูกสต๊าฟและเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และธรรมชาติวิทยา ที่ย่านอุเอโนะ
                ส่วนที่หน้าสถานีชิบุยะ ก็มีการนำรูปหล่อสำริดของเจ้าฮาจิโกะมาตั้งไว้ ผ่านร้อนหนาว ผ่านสงครามและช่วงตกต่ำของญี่ปุ่นมาถึง 70กว่าปี และกลายมาเป็นจุดนัดพบของผู้คนที่มีกิจธุระในย่านชิบุยะ และเป็นที่รู้จักของทั้งชาวญี่ปุ่นเองและชาวต่างประเทศที่มาเที่ยวในโตเกียว หากต้องมาที่ย่านชิบุยะ ก็ต้องแวะเวียนมาชมและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันแทบทั้งนั้น หลังจากถ่ายรูปเสร็จหันขวามา คุณก็จะพบกับห้าแยกมหัศจรรย์ของชิบุยะ จะมหัศจรรย์แค่ไหนและอย่างไร สัปดาห์หน้าอย่าลืมติดตามตอนต่อไป
               

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Tokyo Trendy 6

โตเกียว เทรนด์ดี 6
ความนิยมชมชอบในการทานขนมเค็กของบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในญี่ปุ่นนั้น ค่อนข้างจะเป็นกันเอามากครับ บรรดาร้านดังๆ ต่างก็มีคุณแม่บ้านหรือคุณพนักงานสาวๆ มาอุดหนุนกันอย่างเนืองแน่น ยิ่งถ้าเป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์แล้วล่ะก็ รอคิวกันครึ่งชั่วโมงนี่ถือเป็นเรื่องธรรมดาครับ บางคนไม่อยากนั่งทานที่ร้านก็จะซื้อกลับไปทานที่บ้านหรือซื้อไปเป็นของฝากก็สามารถครับ แถมยังมีการบรรจุอย่างดีเยี่ยมกันการกระแทกและยังมีเจลที่ช่วยควบคุมอุณหภูมิของเค็กให้คงความสดใหม่เหมือนทานอยู่ในร้าน ใส่มาให้อีก
มีแบรนด์นึงที่ได้รับความนิยมอย่างสูง แถมมีเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้าอยู่มากมาย เฉพาะในโตเกียวก็8แห่ง โอซาก้า13 แห่ง รวมๆทั้งญี่ปุ่นแล้วก็ประมาณ40กว่าแห่งครับ เวลาเดินไปเดินมาในห้างสรรพสินค้าโดยเฉพาะแผนกขนมหวาน แล้วเห็นคนถือถุงที่มีตัวอักษร C โดดๆอยู่กลางถุงละก็ พอจะอนุมานได้ว่านั่นเป็นถุงของร้าน HENRI CHARPENTIER (คนญี่ปุ่นอ่านว่า อันรี-ชารุปันตีเย) ซึ่งเป็นสัญชาติฝรั่งเศสเช่นเดียวกันกับ DALLOYAU
HENRI CHARPENTIER เป็นร้านที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพของวัตถุดิบเป็นอย่างยิ่ง  โดยเฉพาะวัตถุดิบที่เป็นพื้นฐานของการทำขนมอย่างเนยและครีม บนความเชื่อที่ว่า รสชาติของขนมที่ดีที่สุดต้องริ่มต้นจากเนย จึงทำให้เกิดกระบวนการผลิตเนยโดยใช้น้ำนมดิบจากแม่วัวพันธุ์ดีของเมืองNUITA เมืองเล็กๆทางฝั่งตะวันออกของเกาะฮอกไกโด ซึ่งมีสภาพแวดล้อมใกล้เคียงกันกับแคว้นนอร์มังดี อันเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นแหล่งผลิตน้ำนมดิบคุณภาพสูงของฝรั่งเศส แล้วเพิ่มกรดแล็คติคลงไปเพื่อกระตุ้นให้เกิดเนื้อครีมในปริมาณสูงตามสูตรดั้งเดิม ทำให้รสชาติของเนยที่ได้นั้น อุดมไปด้วยความหวานมันแต่อ่อนนุ่มและบางเบา ขนมที่ใช้เนยสูตรดั้งเดิมจึงให้รสสัมผัสที่แตกต่างจากการใช้เนยธรรมดาอย่างสิ้นเชิง
เรื่องแบบนี้ต้องขอยกให้ญี่ปุ่นเค้าเลยนะครับ หลายท่านคงคุ้นเคยจากการชมรายการโทรทัศน์ที่แสดงให้เห็นถึงความเอาจริงเอาจังของคนญี่ปุ่นในอันที่จะกระทำการใดๆให้สำเร็จลุล่วงบนคุณภาพที่เทียบเท่าหรือเหนือกว่า ซึ่งบางครั้งแทบจะไม่น่าเชื่อว่า การเสาะหาภูมิประเทศและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเลี้ยงวัวนมเพื่อให้ได้น้ำนมในคุณภาพสูง การเสาะหาแหล่งน้ำธรรมชาติบริสุทธิเพื่อปรุงกลั่นสุราเลิศรส  หรือการคัดเลือกเมล็ดข้าวพันธุ์ดีเพื่อทำข้าวซูชิชั้นเยี่ยม จะยากลำบากเพียงนั้น แต่พวกเค้าก็พกพาจิตวิญญานของมืออาชีพ นำสิ่งดีเยี่ยมเหล่านั้นกลับมาปรุงแต่งให้ลูกค้าของเค้าได้ชิมกันอย่างไม่รู้จบ
HENRI CHARPENTIER ได้เปิดร้านหลัก เชิดหน้าชูแบรนด์ขึ้นที่กินซ่าบล็อค2 (2-8-20 GINZA) อยู่เลยร้านเครื่องเขียน ITO-YAไปเล็กน้อย แล้วเลี้ยวขวาเข้าซอยไปหน่อยนึง ก็จะเจออาคารโมเดิร์นคลาสสิคสีเทาอยู่ตรงหัวมุม ดูยังไงก็ไม่ใช่ร้านเค็กแน่ๆ แต่ป้ายชื่อร้านมันฟ้องว่าใช่ เมื่อเดินเข้าไปในร้าน ก็ให้ความรู้สึกที่เรียบหรู ขนมเค็กต่างๆเรียงรายอยู่ในตู้กระจกด้านซ้ายมือดูละลานตา รอให้ท่านเลือกซื้อกลับไปอิ่มเอมที่บ้านกับครอบครัว
แต่หากท่านต้องการจะนั่งทานในร้าน ก็แค่เดินลงบันไดด้านขวามือไปยังชั้นใต้ดิน ผ่านโถงจำลองที่ตกแต่งให้เหมือนกับห้องสมุดที่ดูเคร่งขรึมแต่จัดจ้านด้วยสีสันของบรรดาหนังสือสันหนาสีชมพูสดเรียงรายสลับกับคู่มือทำขนมและอาหาร ผ่านไปยังส่วนรับรองลูกค้าที่ยังคงความเรียบด้วยผนังสีครีมและโต๊ะขนาดเล็กสีน้ำตาลไหม้ สลับกับชุดโซฟาสีชมพูสดที่ช่วยเพิ่มสีสันให้กับห้อง
เครป SHUZETTO 1ในเมนูขึ้นชื่อที่สุดของ HENRI CHARPENTIER ที่คุณสามารถสั่งทานได้เฉพาะที่ร้านเท่านั้น เจ้าหน้าที่จะเข็นรถทำครัวเล็กๆมาปรุงให้ท่านได้ทานกันถึงข้างโต๊ะเลย  แป้งเครปหวานนุ่มถูกราดด้วยซอสส้มที่อุ่นจนร้อน ออกรสหวานปนฝาดนิดๆ เพิ่มความกลมกล่อมให้กับเครปจานนี้ ไม่เสียดายกับราคา 1,575เยนเลย  อีกหนึ่งเมนูที่ไม่ควรพลาด LEMON TARTE รสหวานอมเปรี้ยวชิ้นขนาดพอคำกับราคา 473เยน  ทานกับน้ำชายามบ่าย ให้ความรู้สึกที่สดชื่น มีเรี่ยวแรงช้อปต่อได้อีกหลายชั่วโมง
นอกจากนี้ยังมีร้านดังอีกมากมายในย่านกินซ่า ให้คุณได้ชิมกันอย่างจุใจ  เช่น SHISEIDO PARLOURที่กินซ่าบล็อค8 (8-8-5 GINZA)  WAKO GOURMET& CAKE SHOPที่กินซ่าบล็อค4 (4-5-11 GINZA)  GINZA SEMBIKIYAที่กินซ่าบล็อค5 (5-5-1 GINZA) ถ้าไม่กลัวอ้วน ก็ลุยกันต่อเลยครับ
จากคอลัมน์ มองญี่ปุ่น ในหนังสือพิมพ์ Post Today ฉบับวันอาทิตย์

วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Tokyo Trendy 5

โตเกียว เทรนด์ดี 5
                หลังจากแนะนำร้านอาหารในย่านกินซ่ามาสองสัปดาห์แล้ว บรรดาสาวๆผู้นิยมขนมหวานคงบ่นน้อยใจ เพราะที่กินซ่านี้ อุดมไปด้วยร้านขนมทั้งแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม แบบญี่ปุ่นประยุกต์ และแบบนำเข้าจากต่างประเทศโดยตรง ซึ่งแต่ละร้าน ถ้าไม่มีชื่อเสียงและคุณภาพระดับเยี่ยมแล้วล่ะก็  อย่าหวังว่าจะมีที่ยืนอยู่ในย่านกินซ่าได้อย่างมั่นคง
                ร้านแรกที่จะแนะนำ เป็นร้านดาโลไวโย ( DALLOYAU ) ร้านนำเข้าจากฝรั่งเศส ที่มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่ยุคพระเจ้าหลุยส์ที่14 แห่งราชสำนักแวร์ซายโน่น และมาเป็นตัวเป็นตนชัดเจนก็ประมาณปี ค.ศ.1802 และได้รังสรรค์ขนมหวานที่ชื่อโอเปร่า (OPERA) ขึ้นในปี 1955 ให้โด่งดังไปทั่วอาณาจักรขนมหวานของกรุงปารีส
ร้านดาโลไวโย เข้ามาผาดโผนในยุทธจักรขนมหวานของญี่ปุ่นเมื่อปี 1982  และสามารถเบียดแทรกตัวเองเข้าสู่แถวหน้าของร้านขนมหวานในญี่ปุ่นได้อย่างเต็มภาคภูมิ  มีทั้งร้านและเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้าทั่วญี่ปุ่นรวมกันสิบกว่าแห่ง โดยมีร้านที่กินซ่าเป็นร้านหลัก คอยเชิดหน้าชูตาอยู่ที่ กินซ่าบล็อก6 (6-9-3 GINZA) ชั้นล่างก็จะเป็นตู้โชว์บรรดาขนมขึ้นชื่อต่างๆ ให้ท่านสามารถเลือกชมและซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านได้
 ที่โดดเด่นและขายดีที่สุดก็ต้อง โอเปร่า จุดเด่นของโอเปร่านั้นอยู่ที่แผ่นทองคำเปลวชิ้นเล็กๆบนเค้กช็อกโกแลตชิ้นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดพอดีคำ เนื้อเค้กนุ่มแต่แน่น โดยที่แต่ละเลเยอร์ ประกอบด้วยรสชาติที่แตกต่างกันของอัลมอนด์ กาแฟ และช็อกโกแลต ด้านบนของชิ้นเค้กเป็นแผ่นช็อกโกแลตบางรสหวานอมขมนิดๆ ให้รสสัมผัสของช็อกโกแลตอย่างแท้จริง เมื่อผสานรสชาติทั้งหมดเข้าด้วยกัน จึงทำให้ โอเปร่า ได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่งของร้านดาโลไวโยมาตลอด ในราคาชิ้นขนาดพอคำที่ 473เยน
  นอกจากโอเปร่าแล้ว มากาฮง (MACARON) หรือที่ญี่ปุ่นเรียกว่า มาการง ขนมที่ทำจากไข่ขาว แป้งอัลมอนด์และน้ำตาล มีลักษณะเหมือนคุ๊กกี้ทรงครึ่งวงกลมประกบกัน มีใส้อยู่ตรงกลาง และมีสีสันละลานตา ตามแต่รสชาติ ก็เป็นดาวเด่นอีกดวงของร้านดาโลไวโยครับ เพราะตระกูลดาโลไวโยเป็นผู้ริเริ่มและเสิรฟขนมชนิดนี้ในราชสำนักแวร์ซายมาก่อนใคร จนในปัจจุบัน กลายเป็นหนึ่งในขนมยอดนิยมของชาวปารีเซี่ยนไปแล้ว
 สำหรับขนมชนิดนี้ต้องยกความดีความชอบให้ลูกสาวของผมครับ  เพราะยัยลูกสาวคนนี้ของผมเนี่ย เห็นเจ้าขนมมากาฮงไม่ได้ เป็นต้องร้องชิมแทบจะทุกครั้งโดยไม่ได้สนใจว่าเป็นร้านอะไร มีชื่อเสียงหรือไม่  ระยะหลังผมถึงมาสังเกตุเห็นว่าถ้าผ่านหรือเห็นร้านดาโลไวโยทีไร เป็นไม่พลาดที่จะต้องขอแวบไปซื้อเจ้าขนมมากาฮงมากินแทบทุกครั้งไป ถามไปก็ได้ความว่า อร่อยกว่าหลายๆร้านที่เคยชิมมาครับ เพราะรสชาติไม่หวานเลี่ยน แถมนุ่มกำลังดี เพราะบางร้านก็นุ่มเกินไปและบางเจ้าก็แข็งเกินพอดี  ราคาความอร่อยระดับนี้ แค่ชิ้นละ158เยนเท่านั้น มีให้เลือก6รส ใครชอบรสไหนเลือกกันตามสบาย แต่สำหรับลูกสาวผม เหมาครบทุกรสครับ
อีกหนึ่งความอร่อยที่ไม่ควรพลาด โดยเฉพาะคนชอบขนมสอดไส้ครีม (CHU-CREAM)  ที่ดาโลไวโยนี้เขาได้คิดค้นขนมสอดไส้ครีมที่มีรูปทรงสี่เหลี่ยม เรียกว่า CHU CUBIC ก็ชูครีมที่มีรูปทรงลูกบาศก์นั่นแหละ มองปราดแรกไม่สะดุดตาครับ เป็นขนมก้อนสี่เหลี่ยมเหมือนขนมปังชิ้นเล็กๆโรยหน้าด้วยน้ำตาลไอซ์ซิ่งมีช็อกโกแลตแท่งจิ๋ววางขนานอยู่ที่ขอบด้านล่าง แต่เพราะมันดูธรรมดาเกินไป ก็เลยลองสั่งมาชิมดู บอกได้เลยครับว่าไม่ผิดหวัง เนื้อแป้งที่ห่อใส้ครีมไว้นั้นแตกต่างจากเนื้อแป้งของชูครีมที่เราคุ้นเคย  เพราะเค้าดัดแปลงเนื้อแป้งให้แน่นขึ้นไม่เปราะบาง เวลาทานจะได้ไม่มีเศษแป้งร่วงหล่นให้รำคาญใจ ส่วนใส้ครีมคัสตาดด้านใน ก็เข้มข้นแต่ไม่หวานจัดจ้าน ถ้าอยากลิ้มลองความอร่อยระดับนี้ ก็ต้องจ่ายในราคาก้อนละ630เยน
ส่วนผมเอง ชอบที่จะขึ้นไปนั่งบนชั้นสอง แล้วสั่งโอเปร่ากับCHU CUBICมานั่งทาน พร้อมทั้งละเลียดลาเต้ ชมบรรยากาศในร้าน ที่อุดมไปด้วยสาวน้อยและสาวใหญ่ เพลินตาและเพลินใจดีครับ เพราะบรรดาร้านขนมในญี่ปุ่นทั้งหลายทั้งปวง ล้วนแล้วแต่มีคุณลูกค้าขาประจำเป็นคุณสุภาพสตรีมากกว่าคุณสุภาพบุรุษแทบทั้งสิ้น ก็สังคมญี่ปุ่นนั้นคุญสุภาพบุรุษมีหน้าที่เป็นผู้หารายได้หลัก ส่วนคุณภรรยาก็มีหน้าที่จัดสรรรายได้นั้นให้เหมาะสมกับครอบครัว  และแน่นอนว่า ค่าขนมและค่าชากาแฟยามบ่าย ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ได้รับการจัดสรรเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน

                            จากคอลัมน์ มองญี่ปุ่น ในหนังสือพิมพ์ Post Today ฉบับวันอาทิตย์

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Tokyo Trendy 4

โตเกียว เทรนด์ดี 4
          ความที่ย่านกินซ่าเป็นที่รู้จักของชาวไทยเรามานาน อีกทั้งผู้หลักผู้ใหญ่และบรรดาผู้มีอันจะกินทั้งหลายทั้งปวงก็คุ้นเคยกับย่านกินซ่าราวกับเดินเล่นอยู่แถวราชดำริ ก็เลยทำให้ร้านอาหารหลายร้านพลอยเป็นที่รู้จักของนักชิมและขาช้อปชาวไทยไปด้วย
                ร้านแรกที่ต้องไม่พลาดก็คือ ร้านชาบุเซน (SHABUSEN) ที่ตึก GINZA CORE (5-8-20 GINZA)ชั้นใต้ดิน(B2F)ใกล้ๆกับโชว์รูมของนิสสันตรงสี่แยกกินซ่า หาไม่ยากครับ ที่ร้านนี้เค้ามีทั้ง ชาบุชาบุ และ สุกิยากิ และมีทั้งเนื้อวัวและเนื้อหมูให้เลือก แต่สำหรับผมและนักชิมหลายๆท่านคงต้องสั่ง ชาบุชาบุเนื้อวัวครับ เพราะการทานสุกิยากิและชาบุชาบุแต่ดั้งเดิม เค้าจะทานกันแต่เนื้อวัวเท่านั้น มายุคหลังๆนี่เองที่เพิ่งจะมีบริการเนื้อหมูสำหรับท่านที่ไม่ทานเนื้อวัว  ส่วนท่านที่เป็นนักบริโภคเนื้อวัวก็คงจะนิยมชมชอบเนื้อของที่นี่ เพราะเค้าใช้แต่เนื้อญี่ปุ่นล้วนๆไม่ใช่เนื้อนำเข้า อันนี้คงต้องขอทำความเข้าใจกับท่านผู้อ่านสักนิด เนื่องจากในบ้านเรา เนื้อนำเข้าจากต่างประเทศจะมีราคาสูงและคุณภาพดีกว่าเนื้อในประเทศเรา แต่ที่ญี่ปุ่นนั้นตรงกันข้ามเลยครับ เนื้อนำเข้าไม่ว่าจะจากประเทศสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย หรือนิวซีแลนด์ เราสามารถหาทานในญี่ปุ่นได้ตามร้านอาหารจานด่วนและราคประหยัดเช่น ร้านข้าวหน้าเนื้อโยชิโนะยะ (YOSHINOYA)  ร้านแฮมเบอร์เกอร์สัญชาติญี่ปุ่นอย่าง MOS BURGER หรือร้านชาบุชาบุยอดนิยมของบรรดานักศึกษาอย่าง MOMO PARADISE ที่เสริฟไม่อั้นในราคาแค่พันกว่าเยน ก็ยังใช้เนื้อนำเข้า มาให้บริการกับลูกค้า แต่ถ้าอยากทานเนื้อของญี่ปุ่น ก็ต้องไปร้านที่มีระดับราคาสูงขึ้นไปอีกหลายเท่า เพราะด้วยนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนการเกษตรของรัฐบาลญี่ปุ่น บวกกับความใส่ใจและพิถีพิถันของเกษตรกร รวมทั้งการเห็นถึงคุณค่าของสินค้าที่ผลิตโดยคนในชาติ  จึงทำให้สินค้าเกษตรทุกชนิดที่ผลิตในญี่ปุ่น สามารถขายได้ในราคาสูงและได้รับการยอมรับว่าคุณภาพดีกว่าสินค้านำเข้าเสียอีก
สำหรับที่ร้านชาบุเซนนี้เค้ามีที่นั่งทั้งแบบนั่งเคาน์เตอร์และแบบนั่งโต๊ะ ผมขอแนะนำให้ท่านนั่งทานที่เคาน์เตอร์นะครับ จะได้อรรถรสของการทานในหม้อส่วนบุคคลและได้เห็นพ่อครัวเค้าเตรียมเนื้อชนิดต่างๆให้กับลูกค้าไปเพลินๆ วิธีการทานชาบุชาบุ ตามธรรมเนียมนิยมนั้น เค้ามักจะทานเนื้อกันก่อนแล้วถึงจะทานผักตามหลัง แต่เดี๋ยวนี้ก็ตามใจชอบ แต่ที่ยังถือปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัดก็คือ เค้าจะใช้ตะเกียบคีบเนื้อแล้วลวกเนื้อไปมาพอสุกๆดิบๆ เพราะถ้าสุกเกินไปเนื้อมันจะกระด้าง แล้วจิ้มน้ำจิ้มซึ่งมีให้สองชนิดคือ น้ำจิ้มซีอิ๊วรสเปรี้ยว (PONZU )และน้ำจิ้มที่ทำจากงาบด เพิ่มรสชาติด้วยต้นหอมซอยที่เค้าเตรียมไว้ไห้ ส่วนใครที่ชอบรสจัดก็สามารถเติมน้ำมันเผ็ดลงไปได้  ตบท้ายด้วยข้าวต้มหรือราเมน เสริฟมาในถ้วยเล็กพอดีอิ่ม ความสุขของมื้อนี้อยู่ที่ 5,000เยนต่อคนครับ
อีกร้านนึงที่ดังค้างฟ้าย่านกินซ่ามาไม่น้อยกว่า30ปี ก็คือ ร้านTORIGIN (5-5-7 GINZA) ผู้ชำนาญการด้านของเสียบไม้ย่างที่ทำจากไก่หลากหลายเมนู ที่เค้าเรียกกันว่า YAKI TORI  หรือไก่ย่างนั่นเอง ไก่ย่างของที่นี่เค้ามีให้เลือกกันหลายชนิดครับ มีทั้งเนื้อไก่ หนังไก่  ปีกไก่ เครื่องในไก่ และลูกชิ้นไก่ นอกจากนี้ยังมีของอย่างอื่นย่างเพื่อเพิ่มความหลากหลายเช่น ไข่นกกระทา แปะก๊วย เห็ดหอม ต้นหอม หน่อไม้ฝรั่ง หรือ เบคอน เค้าย่างให้เห็นกันจะจะในร้านนั้นเลยครับ เวลาสั่งเค้าจะถามว่าจะย่างด้วยซอสหรือย่างเกลือ อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละท่าน ถ้าชอบฉ่ำๆออกรสหวานก็ต้องย่างด้วยซอส แต่ถ้าชอบแห้งนิดๆและออกรสเค็มก็ต้องย่างโรยเกลือ โดยเฉพาะปีกไก่และหนังไก่ย่างนี่ต้องย่างโรยเกลือเลยครับ สนนราคาก็เริ่มต้นที่ไม้ละ 150เยน หรือจะสั่งเป็นชุดก็มี ชุด5ไม้ 780เยน  ชุด8ไม้ 1,300เยน และชุด14ไม้ 2,490เยน
ของดังอีกอย่างของที่นี่ ที่แทบจะทุกโต๊ะต้องสั่งก็คือ ข้าวอบหน้าสารพัดที่เรียกว่า KAMAMESHI เค้าอบข้าวในหม้อขนาด1คนทานอิ่ม ประมาณ15นาที พร้อมโรยหน้าด้วยวัตถุดิบต่างๆอาทิ เนื้อไก่สับ เนื้อกุ้ง เนื้อปู เนื้อปลาแซลมอน ไข่ปลาค้อด หน่อไม้ เห็ดหอม ผักรวม หรือ เนื้อหอยเป๋าฮื้อ เสริฟมาร้อนๆในราคาแค่ 840-950 เยนเท่านั้น นอกจากนี้ในวันธรรมดา ยังมีบริการ ข้าวหน้าไก่ย่าง เสริฟพร้อมซุปและผักดอง ในราคาแค่ 710เยน แต่เค้ามีบริการเฉพาะเวลา 1100-1400 น.เท่านั้น
ร้านTORIGINนี้ออกจะหายากซักนิด เริ่มต้นที่สี่แยกกินซ่าเช่นเคย คราวนี้ให้คุณมองหาตึก SAN-AI ตึกรูปทรงกระบอกที่มีป้อมตำรวจอยู่หน้าตึก ให้เลี้ยวซ้ายไปทางร้านขายขนมญี่ปุ่นAKEBONO ที่ติดกับร้าน MENNEKEN ขายวาฟเฟิลสัญชาติเบลเยี่ยม เดินไปจนถึงซอยที่สอง แล้วให้เลี้ยวซ้ายเข้าซอยไปประมาณ80เมตร ผ่านร้าน SHANGHAI TANGขึ้นไปนิดนึง ให้สังเกตุร้านขายใบชาทางขวามือ ถัดไปนิดจะมีตรอกเล็กๆติดกับร้านขายช็อคโกแล็ต  ร้านTORIGIN อยู่ในซอยนี้แหละครับ อ้อ ใกล้ๆกันมีร้าน NEW TORIGIN ด้วย เป็นร้านที่แยกออกมาเปิด ระวังเข้าร้านผิดนะครับ
                     จากคอลัมน์ มองญี่ปุ่น ในหนังสือพิมพ์ Post Today ฉบับวันอาทิตย์