โตเกียว เทรนด์ดี 4
ความที่ย่านกินซ่าเป็นที่รู้จักของชาวไทยเรามานาน อีกทั้งผู้หลักผู้ใหญ่และบรรดาผู้มีอันจะกินทั้งหลายทั้งปวงก็คุ้นเคยกับย่านกินซ่าราวกับเดินเล่นอยู่แถวราชดำริ ก็เลยทำให้ร้านอาหารหลายร้านพลอยเป็นที่รู้จักของนักชิมและขาช้อปชาวไทยไปด้วย
ร้านแรกที่ต้องไม่พลาดก็คือ ร้านชาบุเซน (SHABUSEN) ที่ตึก GINZA CORE (5-8-20 GINZA)ชั้นใต้ดิน(B2F)ใกล้ๆกับโชว์รูมของนิสสันตรงสี่แยกกินซ่า หาไม่ยากครับ ที่ร้านนี้เค้ามีทั้ง ชาบุชาบุ และ สุกิยากิ และมีทั้งเนื้อวัวและเนื้อหมูให้เลือก แต่สำหรับผมและนักชิมหลายๆท่านคงต้องสั่ง ชาบุชาบุเนื้อวัวครับ เพราะการทานสุกิยากิและชาบุชาบุแต่ดั้งเดิม เค้าจะทานกันแต่เนื้อวัวเท่านั้น มายุคหลังๆนี่เองที่เพิ่งจะมีบริการเนื้อหมูสำหรับท่านที่ไม่ทานเนื้อวัว ส่วนท่านที่เป็นนักบริโภคเนื้อวัวก็คงจะนิยมชมชอบเนื้อของที่นี่ เพราะเค้าใช้แต่เนื้อญี่ปุ่นล้วนๆไม่ใช่เนื้อนำเข้า อันนี้คงต้องขอทำความเข้าใจกับท่านผู้อ่านสักนิด เนื่องจากในบ้านเรา เนื้อนำเข้าจากต่างประเทศจะมีราคาสูงและคุณภาพดีกว่าเนื้อในประเทศเรา แต่ที่ญี่ปุ่นนั้นตรงกันข้ามเลยครับ เนื้อนำเข้าไม่ว่าจะจากประเทศสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย หรือนิวซีแลนด์ เราสามารถหาทานในญี่ปุ่นได้ตามร้านอาหารจานด่วนและราคประหยัดเช่น ร้านข้าวหน้าเนื้อโยชิโนะยะ (YOSHINOYA) ร้านแฮมเบอร์เกอร์สัญชาติญี่ปุ่นอย่าง MOS BURGER หรือร้านชาบุชาบุยอดนิยมของบรรดานักศึกษาอย่าง MOMO PARADISE ที่เสริฟไม่อั้นในราคาแค่พันกว่าเยน ก็ยังใช้เนื้อนำเข้า มาให้บริการกับลูกค้า แต่ถ้าอยากทานเนื้อของญี่ปุ่น ก็ต้องไปร้านที่มีระดับราคาสูงขึ้นไปอีกหลายเท่า เพราะด้วยนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนการเกษตรของรัฐบาลญี่ปุ่น บวกกับความใส่ใจและพิถีพิถันของเกษตรกร รวมทั้งการเห็นถึงคุณค่าของสินค้าที่ผลิตโดยคนในชาติ จึงทำให้สินค้าเกษตรทุกชนิดที่ผลิตในญี่ปุ่น สามารถขายได้ในราคาสูงและได้รับการยอมรับว่าคุณภาพดีกว่าสินค้านำเข้าเสียอีก
สำหรับที่ร้านชาบุเซนนี้เค้ามีที่นั่งทั้งแบบนั่งเคาน์เตอร์และแบบนั่งโต๊ะ ผมขอแนะนำให้ท่านนั่งทานที่เคาน์เตอร์นะครับ จะได้อรรถรสของการทานในหม้อส่วนบุคคลและได้เห็นพ่อครัวเค้าเตรียมเนื้อชนิดต่างๆให้กับลูกค้าไปเพลินๆ วิธีการทานชาบุชาบุ ตามธรรมเนียมนิยมนั้น เค้ามักจะทานเนื้อกันก่อนแล้วถึงจะทานผักตามหลัง แต่เดี๋ยวนี้ก็ตามใจชอบ แต่ที่ยังถือปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัดก็คือ เค้าจะใช้ตะเกียบคีบเนื้อแล้วลวกเนื้อไปมาพอสุกๆดิบๆ เพราะถ้าสุกเกินไปเนื้อมันจะกระด้าง แล้วจิ้มน้ำจิ้มซึ่งมีให้สองชนิดคือ น้ำจิ้มซีอิ๊วรสเปรี้ยว (PONZU )และน้ำจิ้มที่ทำจากงาบด เพิ่มรสชาติด้วยต้นหอมซอยที่เค้าเตรียมไว้ไห้ ส่วนใครที่ชอบรสจัดก็สามารถเติมน้ำมันเผ็ดลงไปได้ ตบท้ายด้วยข้าวต้มหรือราเมน เสริฟมาในถ้วยเล็กพอดีอิ่ม ความสุขของมื้อนี้อยู่ที่ 5,000เยนต่อคนครับ
อีกร้านนึงที่ดังค้างฟ้าย่านกินซ่ามาไม่น้อยกว่า30ปี ก็คือ ร้านTORIGIN (5-5-7 GINZA) ผู้ชำนาญการด้านของเสียบไม้ย่างที่ทำจากไก่หลากหลายเมนู ที่เค้าเรียกกันว่า YAKI TORI หรือไก่ย่างนั่นเอง ไก่ย่างของที่นี่เค้ามีให้เลือกกันหลายชนิดครับ มีทั้งเนื้อไก่ หนังไก่ ปีกไก่ เครื่องในไก่ และลูกชิ้นไก่ นอกจากนี้ยังมีของอย่างอื่นย่างเพื่อเพิ่มความหลากหลายเช่น ไข่นกกระทา แปะก๊วย เห็ดหอม ต้นหอม หน่อไม้ฝรั่ง หรือ เบคอน เค้าย่างให้เห็นกันจะจะในร้านนั้นเลยครับ เวลาสั่งเค้าจะถามว่าจะย่างด้วยซอสหรือย่างเกลือ อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละท่าน ถ้าชอบฉ่ำๆออกรสหวานก็ต้องย่างด้วยซอส แต่ถ้าชอบแห้งนิดๆและออกรสเค็มก็ต้องย่างโรยเกลือ โดยเฉพาะปีกไก่และหนังไก่ย่างนี่ต้องย่างโรยเกลือเลยครับ สนนราคาก็เริ่มต้นที่ไม้ละ 150เยน หรือจะสั่งเป็นชุดก็มี ชุด5ไม้ 780เยน ชุด8ไม้ 1,300เยน และชุด14ไม้ 2,490เยน
ของดังอีกอย่างของที่นี่ ที่แทบจะทุกโต๊ะต้องสั่งก็คือ ข้าวอบหน้าสารพัดที่เรียกว่า KAMAMESHI เค้าอบข้าวในหม้อขนาด1คนทานอิ่ม ประมาณ15นาที พร้อมโรยหน้าด้วยวัตถุดิบต่างๆอาทิ เนื้อไก่สับ เนื้อกุ้ง เนื้อปู เนื้อปลาแซลมอน ไข่ปลาค้อด หน่อไม้ เห็ดหอม ผักรวม หรือ เนื้อหอยเป๋าฮื้อ เสริฟมาร้อนๆในราคาแค่ 840-950 เยนเท่านั้น นอกจากนี้ในวันธรรมดา ยังมีบริการ ข้าวหน้าไก่ย่าง เสริฟพร้อมซุปและผักดอง ในราคาแค่ 710เยน แต่เค้ามีบริการเฉพาะเวลา 1100-1400 น.เท่านั้น
ร้านTORIGINนี้ออกจะหายากซักนิด เริ่มต้นที่สี่แยกกินซ่าเช่นเคย คราวนี้ให้คุณมองหาตึก SAN-AI ตึกรูปทรงกระบอกที่มีป้อมตำรวจอยู่หน้าตึก ให้เลี้ยวซ้ายไปทางร้านขายขนมญี่ปุ่นAKEBONO ที่ติดกับร้าน MENNEKEN ขายวาฟเฟิลสัญชาติเบลเยี่ยม เดินไปจนถึงซอยที่สอง แล้วให้เลี้ยวซ้ายเข้าซอยไปประมาณ80เมตร ผ่านร้าน SHANGHAI TANGขึ้นไปนิดนึง ให้สังเกตุร้านขายใบชาทางขวามือ ถัดไปนิดจะมีตรอกเล็กๆติดกับร้านขายช็อคโกแล็ต ร้านTORIGIN อยู่ในซอยนี้แหละครับ อ้อ ใกล้ๆกันมีร้าน NEW TORIGIN ด้วย เป็นร้านที่แยกออกมาเปิด ระวังเข้าร้านผิดนะครับ
จากคอลัมน์ มองญี่ปุ่น ในหนังสือพิมพ์ Post Today ฉบับวันอาทิตย์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น