วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2554

Tokyo Trendy 22


โตเกียว เทรนด์ดี22
หลังจากH&M สาขาฮาราจูกุเปิดตัวไปได้เพียงแค่5เดือน แบรนด์น้องใหม่ไฟแรงจากสหรัฐอเมริกา Forever 21 ก็ตามมาติดๆ โดยถือเอาวันแรกของช่วงวันหยุดยาวของคนญี่ปุ่น (Golden-week) วันที่29 เมษายน 2009เป็นฤกษ์ประเดิมชัย แถมยังมาตั้งติดอยู่กับH&M แบบประชิดตัว แย่งชิงลูกค้ากันแบบตาต่อตาฟันต่อฟันกันเลยทีเดียว โดยมีคอนเซปสินค้าคล้ายกันมากคือ มาเร็วขายเร็วไปเร็ว ในด้านการออกแบบอาจจะดูเป็นรอง แต่เรื่องราคานี่มันช่างเย้ายวนใจสาวญี่ปุ่นเสียจริงๆ ถึงขนาดที่ว่าวันเปิดร้านวันแรกมีคิวยาวจากหน้าร้านไปจนชนสี่แยกฮาราจูกุแล้วเลื้อยไปตามถนนโอโมเทะซันโด ไม่น้อยหน้าH&Mเท่าไหร่นัก
Forever 21 มีต้นกำเนิดอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งโดยคุณ Do-Won Chang ลูกครึ่งอเมริกันเกาหลีและคุณ Jin Sook ศรีภริยา ในปี1984 โดยใช้ชื่อว่า Fashion 21 เน้นขายเสื้อผ้าตามเทรนด์เกาหลีให้กับคนเกาหลีในเมืองแอลเอ แต่กลับเป็นที่นิยมของบรรดาผู้คนที่ผ่าไปมาแถวนั้นไปด้วย จนทำให้ธุรกิจเติบโตหลายร้อยเปอร์เซนต์ จากร้านขายเสื้อผ้าเล็กๆริมถนนจนมาสู่ร้านใหญ่ในศูนย์การค้า และเปลี่ยนชื่อเป็น Forever 21 ในที่สุด นอกจากนี้แล้วยังแตกไลน์ไปอีกหลายแบรนด์อาทิ XXI Forever, Love 21, Twelve by Twelve เป็นต้น ใครที่เคยไปเดินช้อปปิ้งที่Central World ก็คงจะเคยเจอร้าน XXI Forever แต่ต้องบอกไว้ตรงนี้เลยว่า ทั้งบรรยากาศ การจัดร้าน พนักงาน และสินค้า แตกต่างจากที่ฮาราจูกุพอประมาณ ไม่สามารถนำไปเทียบกันได้ และอีกอย่างที่ฮาราจูกุนี่เป็น Forever 21 ไม่ใช่ XXI Forever ไลน์ของสินค้าก็เลยแตกต่างกันครับ
ถัดจากForever 21 ไปไม่ไกล ก็จะถึงถนนเล็กๆที่เคยเกริ่นไว้เมื่อ2ฉบับก่อน คือถนนทาเคะชิตะ (Takeshita Dori) ถนนที่คนไทยแทบจะทุกคน เวลาไปฮาราจูกุจะต้องไป แต่ทางเข้าด้านนี้อาจจะไม่คุ้นตาเพราะภาพที่เราเห็นกันเป็นประจำนั้น เป็นทางเข้าจากฝั่งสถานีรถไฟJR ส่วนทางเข้าฝั่งนี้เป็นทางเข้าจากฝั่งถนนเมจิครับ ถนนทาเคะชิตะเป็นถนนเล็กๆยาวประมาณ350เมตร หรือจะเรียกว่าซอยดูจะเหมาะสมกว่า ผู้คนสามารถช้อปได้ไม่ต้องคอยพะวงเรื่องรถรา เพราะซอยนี้เค้าไม่มีรถวิ่ง เลยทำให้วัยรุ่นย่านนี้เดินกันขวักไขว่ ยิ่งเป็นบ่ายวันเสาร์อาทิตย์แล้วล่ะก็ มีแต่เด็กวัยรุ่นเต็มซอย ร้านรวงในซอยนี้ก็สนองความต้องการของวัยรุ่นอย่างเต็มกำลัง โดยเฉพาะสินค้าแฟชั่น ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ รองเท้า มีทั้งแบบในกระแสและนอกกระแส หรือสาวกCosplay ก็มีร้านจำเพาะเจาะจงของเค้า แค่เดินดูวัยรุ่นแต่งตัวมาให้ชมก็สนุกแล้ว แต่ที่เห็นแล้วน่าประหลาดใจก็คือ เราจะเห็นคนดำมายืนคอยชักชวนวัยรุ่นให้ไปซื้อเสื้อผ้าแนวแรปหรือฮิปฮอบกันอยู่เป็นระยะๆ  ดูแปลกตาไม่น้อย
สำหรับคนชอบขนม พลาดไม่ได้เด็ดขาดสำหรับ ร้านเครปสวนกุหลาบ เป็นร้านเครป2ร้านอยู่ประมาณกลางซอย ถ้าเข้ามาจากถนนเมจิจะอยู่ฝั่งขวา แต่ถ้ามาจากสถานีJR จะอยู่ฝั่งซ้าย  ร้านนึงสีชมพูชื่อ Angels Heart อีกร้านสีฟ้าชื่อ Marion Crepes เด็กสวนกุหลาบมาเดินแถวนี้เห็นสีชมพูฟ้าเป็นไม่ได้ รู้สึกผูกพันกันทันที  และที่สำคัญลูกค้าทั้ง2ร้านนี้มีแต่สาวน้อยคอยอยู่ในคิวแทบทั้งสิ้น ครั้นจะไม่ต่อคิวกินก็เสียชื่อเด็กสวนฯเป็นแน่ ทั้ง2ร้านเปิดขายกันมานานหลายสิบปี มีให้เลือกสารพัดไส้ ตั้งแต่แบบมาตรฐานจนถึงแบบแฟนซี ความอร่อยไม่ค่อยต่าง แต่บังเอิญใจชอบสีชมพู เพราะอยู่ปากคลองตลาดแล้วย้ายมาสามย่าน จะหาว่าบ้าสถาบันก็ยอมผมชิมมาตั้งแต่ไปญี่ปุ่นครั้งแรกเมื่อปี 1985  กลับมาทุกครั้งต้องชิมทุกที คุณภาพคงเส้นคงวา อร่อยลืมอ้วนไปเลย ถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนคนขายไปแล้วหลายรุ่นแต่ความประทับใจในรสชาติไม่เคยเปลี่ยนครับ
ออกจากถนนทาเคะชิตะมา จะเจอกับสถานีรถไฟJR Harajuku ถ้าเดินเลียบสถานีไปทางซ้ายก็จะไปชนกับถนนโอโมเทะซันโด ตรงบริเวณนี้จะเป็นสามแยกสำคัญที่สุดของย่านฮาราจูกุเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นทางเข้าไปสู่ศาลเจ้าเมจิ ศาลเจ้าอันดับหนึ่งของโตเกียวครับ และตรงนี้อีกเช่นกันที่ในทุกวันอาทิตย์ของเมื่อหลายปีก่อน เป็นแหล่งชุมนุมวัยรุ่นที่พากันมาแสดงออก ร้องเล่นเต้นรำ กันอย่างเต็มพลัง และมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลกันมาชมกิจกรรมของวัยรุ่นนี้กันอย่างเนืองแน่น จนทำให้ฮาราจูกุมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ในฐานะย่านวัยรุ่นชั้นนำของกรุงโตเกียว เริ่มต้นความมันกันที่สะพาน Jingu-Bashi ลงไป ตลอดพื้นที่ของถนน จะมีวัยรุ่นเป็นกลุ่มๆมาจับจองพื้นที่กันตั้งแต่เช้าและเปิดการแสดงในตอนสายๆเรื่อยไป มีทั้งที่อยากเป็นนักร้อง มีทั้งที่ชอบเต้น  ร้านค้าจำพวกแผงลอยก็มาเปิดขายกันอย่างคึกคักทั้งอาหารและเครื่องดื่มมีครบ  สร้างรายได้สะพัดกันไม่น้อย แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ปัจจุบันได้ยกเลิกการปิดถนนไปเสียแล้ว เพราะมีผู้ไม่หวังดีถ่ายภาพหลุดของบรรดาวัยรุ่นสาวน้อย ที่บ่อยครั้งสนุกจนลืมสำรวม ไปเผยแพร่ในนิตยสารบ้าง วิดีโอบ้าง ทางการกรุงโตเกียวจึงต้องยกเลิกการปิดถนนไปอย่างเสียดาย คงเหลือพวกใจรักจริงแค่บางส่วน ยังคงปักหลักโชว์กันทุกสัปดาห์ บริเวณด้านในของสวนสาธารณะโยโยหงิ(Yoyogi Park) และตรงแถวสะพานJingu-Bashi ใครมีโอกาสผ่านไปในวันอาทิตย์อย่าลืมแวะไปชม อาจเห็นพวกรุ่นเดียวกับผม เต้นอยู่อย่างไม่อาย ท้าทายสายตาของคุณๆอยู่ก็เป็นได้


วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

Tokyo Trendy 21


โตเกียว เทรนด์ดี 21
          ก่อนอื่นต้องขออนุญาติแก้ไขข้อมูลของตอนที่19 เรื่องร้านEDWIN นิดนึงครับ เพราะเพิ่งจะกลับมาจากการพาทีมงานไปถ่ายรายการโทรทัศน์ที่โตเกียว พอดีได้มีโอกาสนั่งรถเมล์จากย่านชินจูกุไปยังย่านชิบุยะโดยวิ่งตามถนนเมจิลงไป และตอนที่ผ่านแถวย่านฮาราจูกุ ก็เหลือบไปเห็นว่า ร้านEDWINนั้นได้ย้ายจากฝั่งเดิม มาอยู่ฝั่งเดียวกันกับร้านUTเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนญี่ปุ่นไปเสียแล้ว จึงจำเป็นที่จะต้องมาขอแก้ไขข้อมูลเพื่อความถูกต้องครับ
                กลับมาที่ จิงกูมาเอะ บล็อก1 กันต่อ ถัดจากตึกLaforetขึ้นไปอีกหน่อย คุณจะพบกับตึกสูงรูปทรงสี่เหลี่ยมที่ดูสะอาดตาด้วยกระจกและบางส่วนของผนังสีขาว ตึกนี้มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Ice Cubes Building ซึ่งป็นที่ตั้งของร้าน H&M แบรนด์ค้าปลีกเสื้อผ้าแฟชั่น(Speciality Clothing Retailer)จากสวีเดน ที่มียอดขายรวมทั้งโลกเป็นอันคับ3 จะเป็นรองก็เพียงแค่ ZARAที่อยู่อันดับ2 และอันดับ1อย่างGAP เท่านั้นเอง
H&Mถือกำเนิดขึ้นที่ประเทศสวีเดนในปี1947 โดยขายเฉพาะเสื้อผ้าสุภาพสตรีโดยใช้ชื่อว่า Hennes หรือ Hers ในภาษาอังกฤษนั่นเอง หลังจากนั้นอีก20ปี คุณ Erling Persson เจ้าของHennes ได้เปิดร้าน Mauritz Widforss ในกรุงสต๊อกโฮล์ม สำหรับคุณผู้ชายที่ชื่นชอบการเดินป่าและล่าสัตว์ รวมถึงเสื้อผ้าสุภาพบุรุษด้วย และได้เปลี่ยนชื่อร้านเดิมและร้านใหม่นี้เป็นร้าน Hennes & Mauritz แล้วคงเหลือแต่เพียงตัวย่อ H&Mในท้ายที่สุด ปัจจุบัน H&M มีสาขาทั่วโลกถึงกว่า1,800สาขา ใน34ประเทศ จำหน่ายเสื้อผ้าและสินค้าแฟชั่นตามฤดูกาลแบบมาเร็วขายเร็วหมดเร็ว ใครเห็นแล้วถ้าชอบใจขอให้ซื้อทันทีอย่าได้นิ่งนอนใจ เพราะร้านแนวนี้จะเหมือนกันหมดคือ หมดแล้วหมดเลยอย่าหวังว่าจะผลิตอีกเพราะมีสินค้าของฤดูกาลถัดไปมารอจ่อคิวกันอีกเพียบ
H&Mมาบุกญี่ปุ่นในเดือนกันยายนปี2008 และแน่นอนว่าพื้นที่เป้าหมายของทุกแบรนด์ระดับโลกก็คือ ย่านกินซ่า แหล่งช้อปปิ้งสินค้าชั้นดีมีระดับของกรุงโตเกียว สาขาแรกนี้ถือว่าเป็นหน้าเป็นตาของH&Mเป็นอย่างยิ่ง เพราะวันแรกที่เปิดให้บริการมีหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นมาต่อคิวกันยาวเหยียด จากหน้าร้านที่กินซ่าบล็อก7ยาวไปจนสุดบล็อก8
และในอีก2เดือนถัดมาFlagship Store แห่งที่2 ของญี่ปุ่นที่ย่านฮาราจูกุ ก็เปิดในวันที่8 เดือนพฤศจิกายน ปี2008 ถึงแม้จะเปิดทีหลังแต่ก็ดังกว่าและแรงกว่าตอนเปิดสาขาแรกที่กินซ่า เพราะไปจับไม้จับมือกับดีไซน์เนอร์ระดับตำนานอย่าง Rei Kawakubo แห่ง Comme de Garcons มาออกแบบคอลเลคชั่นพิเศษสำหรับการเปิดสาขาชิบุยะให้ จึงทำให้เกิดปรากฏการณ์พิเศษขึ้น ตั้งแต่คืนวันอังคารที่4 พฤศจิกายน มีสาวกของ Comme de Garcons มานอนคอยการเปิดร้านตั้งแต่2ทุ่ม และหลังจากนั้นก็แฟนๆก็ทยอยกันมานอนรอและต่อคิวกันอีกเป็นจำนวนนับพัน เพื่อจะเป็นคนแรกๆที่ได้เข้าไปเลือกสินค้าถูกใจและมีจำนวนจำกัดก่อนใครๆ ปรากฏว่าในเช้าวันเสาร์ที่8 พฤศจิกายน มีผู้คนมาต่อคิวเข้าร้านH&M ยาวจากหน้าร้านผ่านตึกLaforetไปถึงสี่แยกฮาราจูกุและหักเลี้ยวไปยังถนนโอโมเทะซันโดโดยมีท้ายแถวอยู่เลยสถานีรถไฟ JR Harajukuขึ้นไปอีก ประมาณการว่ามีคนมารอถึงกว่า2,500คนเลยทีเดียวครับ แต่เท่านี้ยังไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่เพราะคนญี่ปุ่นนั้นขึ้นชื่อเรื่องการอดทนเข้าคิวอยู่แล้ว แต่ในวันนั้นซึ่งเป็นปลายฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะเข้าสู่ฤดูหนาว อุณหภูมิก็คงราวๆ10องศา กลับมีฝนตกลงมาทำให้อากาศยิ่งหนาวยะเยียบขึ้นอีก แต่อุปสรรคเหล่านี้ไม่ทำให้แฟนตัวจริงย่อท้อแม้แต่น้อย จึงทำให้เราได้เห็นภาพผู้คนใส่เสื้อกันหนาวกางร่มยืนเป็นแถวยาวอย่างมีระเบียบ เพื่อที่จะได้มีโอกาสเป็นเจ้าของสินค้าชิ้นโปรดก่อนใคร ซึ่งเรื่องแบบนี้คงไม่มีโอกาสเกิดขึ้นในเมืองไทยเป็นแน่
และล่าสุดเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา H&Mสาขาชิบุยะก็ได้เปิดให้บริการเป็นแห่งที่3ของกรุงโตเกียว  ถึงจะเปิดมาแล้ว2แห่ง แต่ตอนสายของวันเสาร์นั้น ซึ่งโดยปกติแล้วจะยังไม่ค่อยมีวัยรุ่นมาเดินกันเท่าไหร่นัก กลับมีวัยรุ่นมาต่อคิวยาวจากเซนเตอร์ไกใจกลางย่านชิบุยะไหลออกมาที่ถนนบุงกะมูระ(Bunkamura Dori) เห็นแบบนี้แล้วดีใจแทนครับ ถึงเศรษฐกิจจะยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ประชาชนก็ยังออกมาจับจ่ายใช้สอย ผิดกับบ้านเราที่พอกำลังจะเริ่มไปได้ดี ก็มีอันต้องสะดุดทุกครั้งไป ดูอย่างญี่ปุ่นสิครับ เค้าสามารถเปลี่ยนขั้วอำนาจการเมืองด้วยวิถีทางประชาธิปไตย เพราะถ้าประชาชนไม่พอใจเค้าก็ใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือครับ
               

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

Tokyo Trendy 20

โตเกียว เทรนด์ดี 20
          สัปดาห์นี้พาคุณผู้อ่านเดินมาจนถึงฮาราจูกุเสียที แต่สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยคงสงสัยว่า ไม่เห็นจะเป็นอย่างที่คิดไว้  ไม่เห็นมีเด็กวัยรุ่นแต่งตัวแปลกๆ ไม่เห็นมีซอยแน่นๆคนเดินเบียดกัน เหมือนที่เห็นในนิตยสารหรือรายการโทรทัศน์เลย อย่าเพิ่งใจร้อนครับ เพราะว่าผมค่อยๆพาคุณเดินมาจากชิบุยะ จะได้เห็นอะไรต่อมิอะไรครบไม่ตกหล่น ภาพของย่านฮาราจูกุที่คุณๆคุ้นเคยนั้นอยู่คนละด้านกับที่ผมพามา ฮาราจูกุแถบที่คุณๆคุ้นกันนั้นอยู่ฝั่งสถานีรถไฟJR ที่ติดกับทางเข้าศาลเจ้าเมจิ  พอออกจากสถานีมาก็จะเจอกับถนนทาเคชิตะ (Takeshita-Dori) ตรงนั้นแหละครับถนนแน่นๆที่ใครๆก็ต้องแวะเวียนไป แต่เชื่อมั้ยครับว่า เอาเข้าจริงๆแล้วบนถนนเส้นนั้นกลับซื้ออะไรไม่ค่อยจะได้ ถ้ายังไม่ลืม ผมเคยให้ข้อมูลไว้ว่าย่านฮาราจูกุ โดยเฉพาะที่ถนนทาเคชิตะนี้เป็นย่านของเด็กมัธยมต้น ข้าวของที่วางขายอยู่บนถนนเส้นนี้ก็เลยตอบโจทย์ของน้องๆมัธยมไปกว่าครึ่ง รุ่นโตขึ้นไปหน่อยก็อาจจะหาเสื้อผ้าได้บ้างแต่ยากสักนิด ยิ่งรุ่นใหญ่แล้วละก็ลืมไปได้เลยครับ ร้านที่พอจะให้เสียเงินเสียทองได้ก็คงจะมีแค่ ร้านDAISO เจ้าพ่อร้าน100เยนอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นเท่านั้นแหละครับ
แต่ขึ้นชื่อว่าฮาราจูกุแล้ว ไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง เพราะเมื่อเดินจากย่านชิบุยะเรื่อยมาตามถนนเมจิจนถึงสี่แยกที่เป็นจุดตัดระหว่างถนนเมจิกับถนนโอโมเทะซันโดแล้ว คุณจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศของการจับจ่ายใช้สอยที่ไม่สามารถบรรยายได้หากไม่ได้ไปเห็นด้วยตา เพราะถ้าคุณไปยืนตรงกลางสี่แยกแล้ว ผมเชื่อว่าคุณจะต้องลำบากในการตัดสินใจว่าจะเลือกไปในทิศทางไหน มองไปข้างหน้าก็น่าเดิน มองไปทางซ้ายก็น่าไป มองไปทางขวาก็น่าลอง เอ! แล้วจะเดินอย่างไรให้มันทั่วละเนี่ย 
เอาอย่างนี้ครับ มาปูพื้นฐานกันก่อนดีกว่า พื้นที่ตรงที่เรียกว่าฮาราจูกุนี้ ตั้งอยู่ในแขวงจิงกูมาเอะ (Jingumae)ของเขตชิบุยะครับ จิงกู(Jingu)แปลว่าศาลเจ้า มาเอะ(mae)แปลว่าด้านหน้า แปลรวมกันก็คือพื้นที่ด้านหน้าศาลเจ้า เพราะพื้นที่แถบนี้อยู่ติดกับศาลเจ้าเมจินั่นเอง  ในแขวงจิงกูมาเอะนั้นแบ่งย่อยๆออกเป็น 6บล็อกด้วยกัน โดยมีถนนเมจิผ่ากลางย่านฮาราจูกุตามแนวตั้ง และมีถนนโอโมเทะซันโดตัดขวางกลางย่านฮาราจูกุอีกเช่นกัน ทำให้แบ่งย่านฮาราจูกุออกเป็น4ส่วน โดยมีสี่แยกฮาราจูกุนี้แหละครับเป็นศูนย์กลาง ส่วนแรกเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของแขวงนี้คือ จิงกูมาเอะ บล็อก1 (Jingumae 1) คือพื้นที่ส่วนที่อยู่ติดกับศาลเจ้าเมจิมากที่สุด กินอาณาบริเวณระหว่างด้านหน้าสถานีรถไฟJR กับฝั่งซ้ายของถนนเมจิ และมาสุดด้านล่างที่ถนนโอโมเทะซันโด  ส่วนพื้นที่ฝั่งตรงข้ามบล็อก1 ระหว่างถนนเมจิฝั่งขวาไล่ลงมาชนกับถนนโอโมเทะซันโดที่ด้านล่างก็เป็น จิงกูมาเอะ บล็อก 2 จนถึงบล็อก4 (Jingumae 2,3,4) และพื้นที่ฝั่งด้านใต้ของถนนโอโมเทะซันโดลงมาก็จะเป็นจิงกูมาเอะ บล็อก5 (Jingumae 5)ทางด้านขวาของถนนเมจิ และบล็อก6 (Jingumae 6)ทางฝั่งซ้ายซ้ายของถนนเมจิ  พอคุณผู้อ่านเข้าใจพื้นฐานตรงนี้แล้ว ทีนี้จะเดินให้ทั่วย่านฮาราจูกุก็ไม่ยาก จะไปไหนก็ให้ยึดสี่แยกฮาราจูกุเป็นหลัก  ถ้าติดตามกันมาตลอด คงจำกันได้ว่า 2สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้พาคุณผู้อ่านเดินผ่านร้านรวงทั้งหลายตั้งแต่Paul Smith ไล่เรียงขึ้นมาจนถึงร้านUT ก็อยู่ในพื้นที่ของจิงกูมาเอะ บล็อก5 และบล็อก6 ทางด้านใต้ของถนนโอโมเทะซันโดนั่นเองครับ
วันนี้เอาเฉพาะตรงสี่แยกนี้ก็ไปไหนต่อไม่ไหวแล้วครับ เริ่มกำหนดตำแหน่งกันก่อน ถ้าคุณยืนอยู่ตรงกลางสี่แยกให้หันหน้าไปทางตึกLaforet และตึกGAP  ซ้ายมือและขวามือของคุณก็จะเป็นถนนโอโมเทะซันโด ส่วนด้านหน้าและด้านหลังของคุณคือถนนเมจิ  เราจะเริ่มต้นตระเวณสำรวจกันที่ จิงกูมาเอะ บล็อก1 ซึ่งก็คือพื้นที่ทางด้านหน้าฝั่งซ้ายมือของคุณทั้งหมด โดยมีตึกLaforet เป็นจุดเริ่มต้น  ถ้าตึกSHIBUYA 109 เป็นสัญลักษณ์ของย่านชิบุยะ ตึกLaforet ก็คือแลนด์มาร์คของย่านฮาราจูกุครับ ที่นี่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี1978 เป็นศูนย์รวมแฟชั่นวัยรุ่นที่นำและล้ำสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงโตเกียว บนอาคารสูง6ชั้นและชั้นใต้ดินอีก3ชั้น อัดแน่นไปด้วยเทรนด์แฟชั่นผ่านร้านเสื้อผ้ากว่า120ร้าน เกือบจะทั้งหมดเป็นแฟชั่นของคุณสุภาพสตรีมีของคุณสุภาพบุรุษบ้างพอให้ไม่เหงา และส่วนใหญ่จะเป็นแบรนด์ท้องถิ่น  ซื้อกลับมาแล้วไม่ต้องกลัวใส่ชนกับใคร เพราะเดินตึกนี้ทีไรไม่ค่อยเจอคนไทยมากนัก อาจเป็นเพราะรอบข้างและใกล้เคียง มีร้านรวงให้เดินกันไม่หวาดไม่ไหว  ร้านเด่นดังคู่ตึกLaforet และเป็นที่รู้จักของนักช้อปชาวไทยคงหนีไม่พ้นร้านTOPSHOP / TOPMAN  จากแดนผู้ดี ที่ตอนนี้ก็มีมาเปิดที่Central World บ้านเราด้วยเช่นกัน แต่ที่ฮาราจูกุนี้มีของให้เลือกมากกว่าและคัดของมาได้โดนใจกว่า โดยเฉพาะเสื้อยืดของที่นี่ลายเค้าเฉียบเหลือรับประทาน  ส่วนคุณสาวๆที่เป็นแฟนประจำของคุณ Kate Moss อย่ารอเฉย สมควรอย่างยิ่งที่จะเข้าไปหยิบฉวยคอลเล็คชั่นล่าสุดของเธอมาไว้ในครอบครอง โดยเฉพาะรุ่น Limited Edition ที่คุณจะสวยได้แบบมั่นใจว่าไปงานไหนไม่มีชนแน่นอน
 แค่เดินในตึกLaforetเพียงแห่งเดียว  คุณอาจจะต้องรีบกลับโรงแรมก่อนกำหนด เพราะถ้าหากยังฝืนเดินต่อไป คงจะไม่มีมือให้ถือของได้อีกเลย

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

Tokyo Trendy 19


โตเกียว เทรนด์ดี 19
          ถ้าลายเส้นหลากสี(Multi Color)บ่งบอกถึงความเป็นPaul Smith  ลายเส้นดำตัดขวางบนสีเบจใครเห็นก็ต้องทราบว่านี่คือเอกลักษณ์ของแบรนด์ผู้ดีจากอังกฤษ BURBERRYนั่นเอง แต่จะบุกตลาดญี่ปุ่นทั้งทีต้องมีดีกว่า ก็เลยเข็น BURBERRY BLUE LABEL สำหรับสาวนุ่ม และBURBERRY BLACK LABEL สำหรับหนุ่มมั่น โดยลดดีกรีความเป็นผู้ดีลงแล้วเติมความอ่อนเยาว์เข้าไปแต่ยังไม่ทิ้งความเนี้ยบของการตัดเย็บ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ ที่แฟนพันธุ์แท้รุ่นใหญ่ของ BURBERRYต้องหวั่นไหวว่ายังอยากจะอนุรักษ์แบบดั้งเดิมไว้ หรือจะปันใจให้โลดแล่นไปกับเทรนด์ใหม่วัยมัน และที่สำคัญปรากฏการณ์นี้มีให้คุณเห็นเฉพาะที่ญี่ปุ่นเท่านั้น ถ้าไม่อยากตกเทรนด์ ต้องแวะไปที่ร้านBURBERRY BLUE LABELอยู่ติดกับร้าน Paul Smith บนถนนเมจิ และร้าน BURBERRY BLACK LABELที่อยู่ในCat Street ด้านหลังของร้านBLUE LABEL หรือสาขาอื่นๆอีกมากทั่วญี่ปุ่น
จากหน้าร้าน Paul Smithเดินตามถนนเมจิขึ้นไปเเรื่อยๆ ถ้าคุณลองสังเกตุจะพบว่าร้านรวงเริ่มหนาแน่นขึ้น แบรนด์คุ้นตาก็เริ่มเยอะขึ้น เพราะอีกไม่ไกลก็จะถึงเขตแดนของฮาราจูกุตรงถนนโอโมเทะซันโดตัดกับถนนเมจิแล้ว จะแวะเข้าร้านไหนหรือไม่ อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบและรสนิยมส่วนตัว แต่ที่ไม่ควรผ่านเลยไปก็คือร้านTKของดีไซน์เนอร์ญี่ปุ่นชื่อดัง Takeo Kikuchi ที่เน้นเสื้อผ้าStreet Casual ออกแนวกบฎเล็กๆ ถึงจะเป็นเสื้อผ้าแบบใส่ง่าย แต่ก็มากด้วยรายละเอียด สมศักดิ์ศรีดีกรีนักออกแบบแฟชั่น โดยเฉพาะคนรักเครื่องแบบ คงถูกใจเสื้อผ้าแนวทหารที่ไล่เรียงตั้งแต่หมวกลงมาถึงบู้ท ส่วนคนชอบเสื้อยืดอย่างผม อดจะคว้าเสื้อยืดลายการ์ตูนจอมโจรลูแปง (Arsene Lupin) ที่หาได้เฉพาะที่ร้านTK มาใส่รำลึกความหลังไม่ได้
สำหรับบรรดาสาวกยีนส์ คงต้องเข้านอกออกร้านบ่อยกว่าใคร เพราะฝั่งตรงข้ามกับร้านTK คุณสาวๆคงจดๆจ้องๆ MISS SIXTYเอาไว้อยู่นานแล้ว ข้ามไปดูซะหน่อยปล่อยให้หนุ่มๆเค้าเพลินอยู่ในร้านTK อีกซักพัก เดี๋ยวค่อยแวะมารับ หรือจะข้ามไปด้วยกันแล้วให้คุณผู้ชายป้วนเปี้ยนกับแบรนด์ENERGIE ที่อยู่ในร้านเดียวกันไปพลางๆก็สมประโยชน์ดี  เสร็จจากนี้เดินขึ้นไปอีกหน่อย  เจ้าของโลโก้สายรุ้งคู่ GAS JEANS รอให้คุณเข้าไปสำรวจตรวจเทรนด์ และโปรดเผื่อใจไว้ซักนิด เพราะหลายคนหลวมตัวตกหลุมรักยีนส์มีระดับกันมานักต่อนักแล้ว ส่วนใครที่เป็นแฟนตัวจริงของยีนส์ระดับตำนานอย่างLevi’s ต้องแวะไปให้ได้ที่ร้าน The Original Levi’s Store ใครกำลังตามหาLevi’sรุ่นหายาก แตกต่างจากรุ่นดาษดื่นที่มีอยู่ในเมืองไทยต้องไปชม และเชื่อขนมกินได้เลยว่า ถ้าพี่รักLevi’sจริง พี่ต้องพาน้องกลับไปไม่ตัวก็สองตัว
 ส่วนท่านที่เบื่อยีนส์ฝรั่ง  EDWIN ยีนส์สัญชาติญี่ปุ่นที่สามารถต่อกรกับยีนส์ต่างชาติได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ  ตั้งอยู่เลยขึ้นไปใกล้กับสี่แยก อันที่จริงยีนส์ EDWIN นี้หาได้ง่าย มีขายอยู่ทั่วไปตามร้านค้าปลีกและห้างสรรพสินค้า หรือแม้กระทั่งในOutlet  แต่เฉพาะที่ร้านนี้ มีรุ่นLimited ที่หาไม่ได้ในร้านทั่วไป รอให้คุณสอยมาเท่ได้ไม่ซ้ำเพื่อน แต่ราคาจะโดดจากรุ่นธรรมดาเกือบเท่าตัว  อย่างเช่นรุ่นเบสิค503 ราคาอยู่ที่ 9,450เยน แต่พอเป็นรุ่นฉลอง25ปีTransformer ที่มีกระดุมและป้ายเป็นตราสัญลักษณ์Decepticon นั้น ราคาจะเขยิบไปที่15,750เยน และหากใครที่เป็นสาวกของOnitsuka Tigerแล้วละก็ ต้องตามล่าหายีนส์EDWIN รุ่นสมานฉันท์กับOnitsuka Tiger มาครอบครองให้จงได้ รุ่นนี้มีจุดสังเกตุที่รอยปักสัญลักษณ์รูปเสือยืนบิดอยู่ตรงกระเป๋าเล็กด้านหน้าขวา  ป้ายหนังสีน้ำตาลแดงปั๊มรูปหัวเสือวางคู่กับโลโก้เจ้าภาพทั้งคู่ ที่ด้านหลัง  สกรีนโลโก้เจ้าภาพสีขาวบริเวณขอบเอวด้านใน  พิมพ์สัญลักษณ์รูปเสือกับโลโก้ของOnitsuka Tigerบนซับในกระเป๋าหน้าคนละข้าง  และกระดุมต้องสีแดง มูลค่าอยู่ที่16,800เยน ถ้าไม่มีไว้ในครอบครอง พูดได้ไม่เต็มปากว่าเป็นสาวกตัวจริงครับ
ฝั่งตรงข้ามกับร้านEDWINเป็นร้านที่มิควรพลาดอย่างที่สุดก็คือร้าน UT หรือ Uniqlo T-shirt ที่เคยเขียนถึงไปครั้งนึง สาวกเสื้อยืดห้ามพลาดร้านนี้เด็ดขาด เพราะแค่เลือกลายก็ลานตาแล้ว ร้านนี้เป็นFlagship Store ของUTเลยครับ การจัดร้านแนวมาก เสื้อยืดมีให้เลือกทั้งแบบที่แขวนอยู่บนราวหรือจะเลือกแบบพิเศษบรรจุในกระป๋องพลาสติคใสเหมาะจะให้เป็นของฝากอย่างมีสไตล์ แต่โปรดระมัดระวังเรื่องขนาดให้ดี เพราะเสื้อยืดแต่ละรุ่นแต่ละลาย ที่ป้ายบอกขนาดเดียวกัน แต่ขนาดอาจต่างกันกับอีกลายก็เป็นได้ เพราะผมเคยเจอมาแล้ว ปกติผมจะใส่ไซส์ L แต่บางรุ่นหยิบไซส์ L มาโดยไม่ได้ดูให้ดี ดันเป็นแบบSlim Fitเข้ารูป ใส่ออกมาแล้วเป็นพี่โหน่งสามช่า ฮาไม่ออกเลยครับ

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

Tokyo Trendy 18


โตเกียว เทรนด์ดี 18
          จากหน้าร้าน 45rpm เดินขึ้นไปอีกหน่อยจะเจอทางแยกเข้าซอย ให้เดินข้ามทางแยกนี้ขึ้นไปตามถนนเมจิ ก็จะพบกับร้านPaul Smith แบรนด์เก๋ๆเท่ๆจากเกาะอังกฤษ โดดเด่นด้วยลายเส้นหลากสี (Multi Strips) ที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาลุยตลาดญี่ปุ่น จนเป็นที่นิยมของหนุ่มสาวชาวอาทิตย์อุทัยไปทั่วเกาะ และสามารถลงหลักปักฐานขยายสาขาทั่วญี่ปุ่นไปแล้วถึง200กว่าสาขา และมีแบรนด์ย่อยแยกตามกลุ่มสินค้าอีกเพียบ เช่น PS Paul Smith, Paul Smith JEANS, R.NEWBOLD สำหรับคุณผู้ชาย หรือ Paul Smith BLACK, Pual by Paul Smith (Paul x) สำหรับคุณผู้หญิง เวลาจะเข้าร้านโปรดสังเกตุแบรนด์หรือป้ายหน้าร้านนิดนึงนะครับว่าเป็นของคุณผู้ชายหรือคุณผู้หญิง เพราะหลายท่านพลาดมาเยอะแล้ว ด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าทุกร้านจะมีทั้งของผู้ชายและผู้หญิง          
ร้านPaul Smith บนถนนเมจินี้เป็น Flagship Store ใครตามหาสินค้าออกใหม่รุ่นไหน มาที่นี่ไม่ค่อยผิดหวังครับ เพราะนอกจากเสื้อผ้าแล้ว องค์ประกอบความงามความหล่อก็ครบไลน์ ทั้ง รองเท้า กระเป๋า แว่นตา น้ำหอม ไม่เว้นแม้กระทั่งชั้นใน เรียกว่าถ้าเป็นสาวกแล้วละก็ ใส่Paul Smithครบทุกชิ้น ออกจากบ้านได้ไม่อายใครเลย แต่ร้านนี้เค้ามีแต่สินค้าสำหรับคุณผู้ชายล้วนๆ ส่วนคุณผู้หญิงก็ไม่ต้องน้อยใจไป เพราะตอนนี้ Paul Smith เค้ากำลังจะออกCollectionใหม่สำหรับ PROJECT 10 รับรองว่าได้ซื้อกันอย่างหนำใจแน่ แต่ต้องเป็นแฟนกระโปรงสั้นเท่านั้นนะครับ  เพราะProject 10 ครั้งที่2นี้ เค้าออกแบบมาสำหรับสาวขาเรียวโดยเฉพาะ เป็นกระโปรงสั้น(Mini Skirt) พิมพ์ลายแตกต่างกันถึง 64ลาย แต่จำกัดเพียงลายละ10ตัวเท่านั้น ใครถึงก่อนมีสิทธิก่อน แล้วอย่างนี้คุณสาวๆขาสวยจะพลาดได้อย่างไร
                PROJECT 10  เป็นโครงการพิเศษของ Paul Smith ที่จะออกสินค้าที่จำกัดจำนวน(Limited Edition) แต่มีความพิเศษตรงที่สินค้าแต่ละชนิดจะมีลวดลายหลากหลาย แต่ละลวดลายจะจำกัดการผลิตเพียงแค่10ชิ้นเท่านั้น สินค้าแต่ละชิ้นจะมีหมายเลขลำดับ1-10 และจะถูกกำหนดให้วางขายเพียงแค่สาขาเดียวลายเดียวเท่านั้น     PROJECT 10 โครงการแรกเป็นกระเป๋าสะพายสำหรับคุณผู้ชายเรียกว่า PROJECT 10:BAG มีลวดลายทั้งสิ้น138ลาย ทยอยวางจำหน่ายสัปดาห์ละ10ลาย เริ่มตั้งแต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ผมเองก็มีโอกาสได้ครอบครองมา1ใบ จากห้างไดมารุ สาขาชินไซบาชิที่โอซาก้า ตอนเห็นครั้งแรกที่เกียวโต ลายมันยังไม่ค่อนโดน แต่พอมาเจอที่โอซาก้านี่ใช่เลยครับ ปิ๊งแต่ไกลเพราะดูยังไงก็Paul Smith แต่เสียดายที่ได้หมายเลข 5 ถ้าไปเร็วกว่านี้อาจได้เลขสวยๆอย่างหมายเลข 1  7 หรือ 8 ก็ได้   โดยเฉพาะหมายเลข 7 นี่คนญี่ปุ่นนิยมกันมากเพราะเป็นลัคกี้นัมเบอร์ของเค้าเลย แต่ถ้าเป็นเลข 4  นี่ไม่ค่อยดีครับ เพราะเลข 4ในภาษาญี่ปุ่นอ่านว่าชิ บังเอิญไปพ้องเสียงกับคำว่าชิ อีกคำที่แปลว่าตาย กระเป๋าที่มีหมายเลข 4 จึงมักจะเหลือเป็นใบท้ายๆเสมอ
หลังจากที่ประสบความสำเร็จจากกระเป๋าของคุณผู้ชาย ใบไม้ร่วงปีนี้Paul Smith ก็ได้ฤกษ์เข็นโครงการที่2 มาให้สาวเปรี้ยวได้นุ่งสั้นท้าลมหนาวกัน PROJECT 10:MINI SKIRT กระโปรงสั้นพิมพ์ลายจะเริ่มทยอยวางจำหน่ายวันแรกในวันที่9ตุลาคมนี้ โดยจะมีลวดลายทั้งสิ้น64ลาย ในโตเกียวจะมีเพียงแค่15ลายและวางจำหน่ายในร้าน Pual by Paul Smith (Paul x) 13สาขาเท่านั้น ที่ใกล้ที่สุดก็ที่ห้างเซย์บุสาขาชิบุยะ และPaul Smith SPACE ย่านโอโมเทะซันโด แต่อย่าไปวันพุธนะครับเพราะเป็นวันหยุด หรือที่สาขาไดคันยามะ ซึ่งพิเศษกว่าสาขาที่อื่นตรงที่จะมีลายให้เลือกมากถึง3ลายและที่นี่เค้าปิดวันอังคาร  ส่วนย่านอื่นๆก็ยังมีที่
ห้างอิเซตันสาขาชินจูกุ  ห้างทาคาชิมายะสาขาชินจูกุและสาขาทามะงาว่า  ห้างมิตสุโกชิสาขากินซ่าและสาขา
นิฮอมบาชิ  ห้างฮังคิวสาขายูรัคโจ  ห้างไดมารุสาขามารุโนะอุจิ  ห้างโทบุสาขาอิเคะบุคุโร  ห้างเซย์บุสาขาอิเคะบุคุโระ และห้างแกรนด์ดูโอสาขาทาจิคาวะ แต่จำให้ขึ้นใจ ใครชอบลายไหนต้องไปสาขาที่มีลายนั้น เค้าไม่มีการขายข้ามสาขา
นอกจาก Flagship Store บนถนนเมจิแล้ว ในCat Street ก็ยังมีร้าน Paul Smith JEANS และR.NEWBOLD อีกด้วย ถ้าอยากลองแวะไปดู ก็แค่เดินออกจากร้าน Paul Smith แล้วก็เลี้ยวขวาไปตามถนนเมจิ จะเจอซอยแรก ก็สามารถเชื่อมไปCat Streetได้เลย เดินเข้าซอยนี้ไปนิดนึงแล้วเลี้ยวซ้ายไปหน่อยก็จะเจอทั้ง2ร้านตั้งอยู่เยื้องๆกัน

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

Tokyo Trendy 17

โตเกียว เทรนด์ดี 17
                ถนนตรงหน้าห้างBic Camera ก็คือถนนเมจิ (Meiji Dori) สังเกตุง่ายๆคือถ้ายืนอยู่หน้าห้างฯ ถนนที่มีรถวิ่งผ่านด้านคุณหน้านั่นแหละครับใช่เลย แต่ถ้าไม่แน่ใจก็ลองตรวจสอบดูก่อนว่าถนนเส้นนี้วิ่งขนานไปกับทางรถไฟยกระดับหรือเปล่า ถ้าใช่ละก็ไม่ผิดแน่ครับ ถนนเมจินี้เป็นถนนสายสำคัญ เป็นถนนสายหลักเส้นหนึ่งของกรุงโตเกียวเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นถนนที่วิ่งจากฝั่งตะวันตกของกรุงโตเกียว โดยมีจุดเริ่มต้นแถวๆย่านเอบิสึ (Ebisu)วนขึ้นไปทางเหนือแล้วโค้งลงมาทางฝั่งตะวันออกจนสุดที่อ่าวโตเกียวแถบย่านชินคิบะ(Shin-Kiba) หรือจะเรียกว่าเป็นถนนวงแหวนชั้นในสุด คล้ายๆกับถนนรัชดาภิเษกของกรุงเทพฯเราก็ว่าได้
                ถนนเมจินี้วิ่งผ่านย่านสำคัญๆที่นักท่องเที่ยวรู้จักกันดีอย่าง อิเคะบุคุโระ ชินจูกุ ฮาราจูกุ และชิบุยะ โดยวิ่งขนานไปกับทางรถไฟของเจอาร์สายยามาโนเทะ (JR Yamanote Line)ช่วงจากสถานีเอบิสึไปจนถึงสถานี
อิเคะบุคุโระ และยังมีรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำตาล Fukutoshin line วิ่งอยู่ข้างใต้อีกด้วย  จากหน้าห้าง Bic Camera ถ้าหันหน้าออกไปทางถนนเมจิ  จะไปฮาราจูกุก็ไปทางซ้าย เดินไปครู่เดียวก็จะผ่านโรงแรมTokyu Inn เลยไปอีกนิดก็จะเจอสวนสาธารณะมิยะชิตะ(Miyashita Park) ส่วนที่1  พอข้ามทางแยกที่มีสัญญานไฟจราจรไปแล้ว  ก็ยังเป็นสวนสาธารณะมิยะชิตะอยู่แต่เป็นส่วนที่2 ซึ่งเป็นสวนที่แปลกดีครับ ความที่ย่านชิบุยะนี้เป็นเนินสลับกับทางราบ สวนฯมิยะชิตะช่วงนี้ก็เลยเป็นสวนฯยกระดับและเอาพื้นที่ด้านล่างใต้สวนฯมาทำเป็นที่จอดรถ ดูสิครับว่าญี่ปุ่นเค้าใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่าแค่ไหน ถนนช่วงนี้ร้านรวงยังดูไม่ค่อยน่าตื่นตาตื่นใจเท่าไหร่  ถือว่าเดินเบาๆเอาแรงเก็บไว้ก่อน พอใกล้จะสุดสวนฯให้คุณมองไปยังฝั่งตรงข้าม  จะเห็นถนนเล็กๆเส้นนึงแยกออกจากถนนเมจิไป ถนนนี้มีชื่อเต็มๆว่า Kyu Shibuya-River Street ซึ่งถ้าไปถามวัยรุ่นแถวนั้นคงสั่นหัวไม่รู้จักกันเป็นแน่ แต่ถ้าถามว่า Cat Street ละก็ตอบ ไฮ่ ไฮ่ ที่แปลว่าใช่ กันทุกคน
          Cat Street นั้นเริ่มต้นจากถนนเมจิช่วงฝั่งตรงข้ามกับสวนสาธารณะมิยะชิตะ ส่วนที่2 ลัดเลาะผ่านอาคารบ้านเรือนที่เงียบสงบไปตามแนวคลองเล็กๆที่ปัจจุบันถูกถมจนเหลือแค่ทางระบายน้ำ ไปจนออกที่ถนนโอโมเทะซันโด(Omote Sando) แล้วทะลุข้ามไปฝั่งฮาราจูกุได้ เพราะเคยเป็นส่วนที่เงียบสงบมาก่อนก็เลยทำให้ถนนเล็กๆสายนี้มีเจ้าแมวเหมียวมาพำนักอาศัยและเดินเล่นเพ่นพ่านให้เห็นอยู่เป็นประจำ จนคนที่ผ่านไปมาแถวนั้นพากันเรียกถนนเล็กๆสายนี้ว่า Cat Street จนติดปากมาถึงทุกวันนี้ และถนนแมวเหมียว หรือ Cat Street นี้เป็นหนึ่งในถนนสายที่ผมชอบมาก เพราะไม่พลุกพล่านเหมาะกับการเดินเล่นดูดน่นนี่นั่นแต่ในความสงบของถนนสายนี้มีสิ่งที่สยบความเคลื่อนไหวได้อย่างชงัด นั่นก็คือร้านขายสินค้าแบรนด์แนมระดับโลก และระดับท้องถิ่นให้คุณช้อปได้ในบรรยากาศเงียบๆสบายๆแต่แฝงไว้ด้วยความมีดี  แตกต่างไปจากความพลุกพล่านของถนนเมจิที่ขนานกันอยู่และห่างออกไปเพียงแค่ไม่กี่สิบเมตร ทั้งถนนเมจิและCat street ต่างก็มีดีและโดดเด่นกันไปคนละแบบ ถ้าชอบแบบเท่ห์ๆก็ต้องCat Street แต่ถ้าชอบแบบเริ่ดๆก็ถนนเมจิ  แต่ถ้าเป็นขาช้อปตัวจริง ไม่ควรพลาดทั้งสองเส้นครับ
ขอเริ่มพาคุณเดินสำรวจถนนเมจิกันก่อนนะครับ แล้วเราค่อยย้อนกลับมาCat Street อีกที เริ่มต้นจากถนนเมจิ ตรงปากทางเข้าCat Street เดินขึ้นไปนิดเดียวจะเจอสะพานลอยคนข้ามอันแรก ถัดไปอีกนิดก็จะเจอกับร้าน45rpm ร้านเสื้อผ้าแฟชั่นที่โดดเด่นด้วยยีนส์สัญชาติญี่ปุ่นแท้ และโด่งดังข้ามโลกไปถึงนิวยอร์คและปารีส แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักมักจี่ในสยามประเทศเท่าใดนัก ยิ่งถ้าไม่ได้เป็นแฟชั่นนิสต้าละก็คงไม่เคยได้ยินชื่อนี้เป็นแน่ ใครที่กำลังเบื่อยีนส์ฮอตยี่ห้อฮิตที่ใส่ตามติดกันทั้งบ้านทั้งเมือง และกำลังมองหาความต่าง ไม่ควรพลาดแวะชมร้าน45rpm เพราะที่นี่เค้าเน้นยีนส์ทรงตรงมาตรฐาน พิถีพิถันกับการเลือกใช้วัตถุดิบ การตัดเย็บที่ปราณีตบรรจง และย้อมสียีนส์สวยเข้มได้ใจ ใส่แล้วสบาบเนื้อสบายตัวไม่แข็งกระด้างเสียดสีผิวนุ่มของคุณสาวๆให้ระคายเคือง นอกจากยีนส์แล้วเสื้อผ้าแนวCasual Wear ก็มีให้เลือกอีกมากแบบ โดยมีsub-brand ให้เลือกอีก4ตัวคือ Badou-R,  umii 908,  R by 45rpm และ 45rpm& ใครชอบแนวไหนไปดูไปเลือกกันเองนะครับ เค้ามีสาขาทั่วญี่ปุ่นถึง50กว่าแห่ง แต่ที่สาขาชิบุยะนี้เค้าเน้นยีนส์มากเป็นพิเศษ

วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554

Tokyo Trendy 16

โตเกียว เทรนด์ดี 16
                จากย่านชิบุยะถ้าจะไปฮาราจูกุ (Harajuku) ก็สามารถไปได้หลายวิธี ถ้าเอาแบบเบสิคที่นักท่องเที่ยวทั่วไปใช้กันก็คงไม่พ้นการไปโดยรถไฟฟ้าบนดินสาย JR Yamanote สีเขียวอ่อน ขึ้นไปในทิศทาง Shinjuku-Ikebukuro-Ueno นะครับ เพราะถ้าขึ้นผิดชานชลา ก็อาจพาคุณลงไปทางตรงกันข้ามคือ Meguro-Shinagawa-Tokyoได้ ถ้าจำไม่ผิด จะไปฮาราจูกุก็ควรจะขึ้นชานชลาที่2 ดูทิศทางให้แน่ใจก่อนละกัน ถ้ามั่นใจแล้วก็ยืนไปแค่ป้ายเดียว ลงที่สถานีฮาราจูกุได้เลยครับ แต่ใครที่ซื้อตั๋วรถไฟฟ้าต็ดินแบบวันดียวราคาเดียว ก็จะมุดดินไปใช้รถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำตาล Fukutoshin Line นั่งไปแค่ป้ายเดียวเช่นกัน แต่ลงที่สถานี Meiji- jingumae นะครับ จำไว้เลยว่าถ้าเป็นรถไฟฟ้าใต้ดินจะขบวนไหนก็ตามต้องลงที่สถานี Meiji-jingumae เท่านั้น ไม่ใช่สถานีฮาราจูกุ สำหรับรถไฟฟ้าใต้ดินนี้ยังมีวิธีจดจำแบบง่ายๆได้อีกคือ ทุกสายเค้าจะถูกแทนด้วยสีและอักษรย่อเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ และทุกสถานีจะถูกแทนที่ด้วยตัวเลข เช่นที่สถานีชิบุยะนี้ถ้าเป็นสาย Fukutoshin ก็เป็นสีน้ำตาล F16 และสถานีMeiji-jingumae เป็นสถานี F15 เวลาลงไปที่ชานชลาก็สังเกตุทิศทางจากลำดับของตัวเลขก็สะดวกดีครับ
แต่สำหรับผม วิธีที่ผมชอบที่สุดก็คือ เดินครับ หลายคนคงต้องโห่ฮิ้วแน่ๆ แต่มันเป็นเรื่องดีที่ต้องบอกความจริงกัน เพราะตลอดเส้นทางมีร้านรวงสารพัดแบรนด์ให้เพลิดเพลินจำเริญตา แถมมีโอกาสได้สินค้าเด่นของดีติดไม้ติดมือไปก็เป็นได้ หรือถ้าขี้เกียจเดินจะนั่งรถเมล์ไปก็ได้ แต่อย่างไรเสีย พอเห็นร้านรวงระหว่างทางแล้ว ก็ต้องเดินย้อนกลับมาอยู่ดี
                จากห้าแยกชิบุยะ ตรงหน้าสถานีรถไฟJR ถ้ายืนหันหน้าไปทางตึก Q FRONT ให้คุณแลขวา ก็จะเห็นทางรถไฟยกระดับ คุณเดินไปทางนั้นล่ะครับ พอลอดใต้ทางรถไฟไปแล้วก็จะเจอกับสี่แยกไฟแดง  จุดตัดของถนนเมจิ (Meiji Dori) กับ ถนนเนินมิยะมาสึ (Miyamasu Zaka) สังเกตุตรงสี่แยกจะมีร้านเครื่องไฟฟ้าขนาดใหญ่ ชื่อ Bic Camera ตั้งอยู่ตรงหัวมุมพอดี พูดถึงร้านนี้นักท่องเที่ยวชาวไทยคงรู้จักกันดี หลายท่านคงเสียเงินกับร้านนี้ไปไม่น้อย เพราะเค้ามีเครื่องไฟฟ้า กล้อง คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเลคโทรนิคสารพัดให้เลือกมากจริงๆ ใครชอบเดินร้านจำพวกนี้ จะเดินโฉบเฉี่ยวเข้าไปดูก็ได้ แต่ถ้าคิดจะซื้อก็ต้องพิจารณาให้ดีเพราะสินค้าทั้งหลายทั้งปวงเค้าจำหน่ายให้กับคนท้องถิ่นเป็นหลัก หากแต่นักท่องเที่ยวอย่างเราอยากได้ ก็ต้องตรวจสอบให้เรียบร้อยเสียก่อนว่า ใช้กับไฟฟ้าบ้านเราได้มั้ย มีคู่มือภาษาอังกฤษให้หรือเปล่า และใช้นอกประเทศญี่ปุ่นได้จริง เพราะสินค้าบางอย่างพอนำออกจากญี่ปุ่นแล้วมันทำงานไม่ได้เช่นนาฬิกาบางรุ่นที่ทำงานโดยคลื่นวิทยุ ซึ่งเมืองไทยไม่สามารถใช้ได้ และสินค้าบางตัวที่ใช้ได้แต่ไม่คุ้มเช่นเครื่องรับวิทยุ เพราะในญี่ปุ่นนั้นช่วงคลื่นวิทยุเอฟเอ็มเค้าแตกต่างจากบ้านเรา
 สำหรับคุณๆที่เป็นแฟนสินค้าแนวนี้และมีโอกาสไปญี่ปุ่นอยู่เสมอ ถ้ารักชอบแบรนด์ร้านไหน ก็ควรจะทำบัตรสะสมแต้ม(Point Card)เก็บเอาไว้ เวลาซื้อของๆเค้าทีก็จะมีคะแนนสะสมไปเรื่อยๆ ซึ่งคะแนนของเค้าสามารถเก็บไว้ได้หลายปีและนำมาแลกสินค้าในร้านแทนเงินสดได้ไม่มีอิดออดให้รำคาญใจไม่มีเงื่อนไขให้เสียอารมณ์ บางร้านถึงขนาดช่วยคิดแทนเราด้วยว่า ถ้าซื้อของชิ้นใหญ่แล้วจะได้คะแนนเท่าไหร่ แล้วเอาคะแนนที่ได้ไปแลกสินค้าชิ้นเล็กโดยไม่ต้องจ่ายเงินเลย ยิ่งถ้าไปเป็นกลุ่มใหญ่หรือครอบครัวก็ยิ่งคุ้ม คุณพ่อซื้อกล้องคุณแม่ซื้อนาฬิกา ได้คะแนนมาแลกเครื่องเล่นเกมส์ให้คุณลูก แฮบปี้กันถ้วนหน้า ไปญี่ปุ่นคราวหน้าอย่าลืมทำไว้ซักใบ ยิ่งถ้าไปกับบริษัททัวร์ยิ่งสะดวก ขอให้หัวหน้าทัวร์หรือไกด์ท้องถิ่นเค้าช่วยทำให้ รับรองว่าเป็นประโยชน์กับทุกท่านและใช้ประโยชน์ได้ทันที เวลาชำระค่าสินค้าก็แค่แสดงบัตรให้เจ้าหน้าที่เค้าดู จะชำระเงินแล้วเก็บคะแนนไว้ก่อนก็ได้ หรือถ้ามีคะแนนอยู่มากพอ จะให้ทางร้านเค้าตัดคะแนนออกจากบัตรเป็นค่าสินค้าเลยก็ได้ หรือถ้ามีคะแนนไม่พอ จะใช้คะแนนส่วนหนึ่งแล้วชำระเงินในส่วนที่ขาดก็ได้เช่นกัน เวลาใช้บัตรก็แสนจะสะดวก เพราะเค้ายึดถือบัตรเป็นหลักไม่ต้องเช็ดชื่อหรือตรวจสอบลายซ็น ใครถือบัตรใบนี้มาก็ใช้ได้ทั้งนั้น เหมาะจะทำติดตัวไว้ เผื่อคราวหน้าจะมาเองหรือคนสนิทในบ้านจะมาบ้าง จะได้ช่วยกันใช้ช่วยกันสะสมคะแนนให้ครบ อาจจะได้ลำโพงชั้นเยี่ยมมาประดับห้องรับแขกฟรีๆโดยไม่ต้องเสียเงิน
ร้านเครื่องไฟฟ้าดังๆไม่ว่าจะเป็น Bic Camera, Yodobashi, Sakuraya เค้ามีกันทั้งนั้น แถมในช่วงฤดูจับจ่ายอย่างเช่นช่วงคริสต์มาสและปีใหม่ ยังมีโปรโมชั่นเพิ่มคะแนนจาก 5เปอร์เซนต์เป็น 10เหรือ15เปอร์เซนต์ในสินค้าบางรายการ อย่างนี้ยิ่งซื้อยิ่งคุ้ม คนญี่ปุ่นเค้านิยมทำPoint Cardกันแทบทั้งนั้น ไม่เฉพาะร้านเครื่องไฟฟ้านะครับ ร้านขายยา ร้านอาหาร และอีกสารพัดร้าน ก็มีระบบPoint Cardให้กับลูกค้า เพื่อสร้างความภักดีและสร้างความถี่ในการใช้บริการกันอย่างแพร่หลาย เพื่อนๆชาวญี่ปุ่นหลายรายมีกระเป๋าใส่Point Cardโดยเฉพาะ เวลาไปกินข้าวซื้อของกันทีไร เค้าสะสมคะแนนกันได้แทบทุกร้าน หลังๆผมเลยเอาบ้าง ปีที่แล้วทั้งปีได้คะแนนมาแลกเครื่องเล่นPSPให้ลูกสาวได้สบายเลย ร้านไหนห้างไหนในเมืองไทยจะเอาไปใช้บ้างก็น่าจะดี แต่ต้องใจถึงสักนิดอย่าคิดอะไรตื้นๆ ของญี่ปุ่นเค้าใช้คะแนนแทนเงินสดซื้อสินค้าในร้านได้ทุกรายการก็เลยเป็นที่นิยม