วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Tokyo Trendy 28


โตเกียว เทรนด์ดี 28
          จากสี่แยกฮาราจูกุขึ้นไป ผมขอเรียกว่าย่านโอโมเทะซันโดตามชื่อถนนก็แล้วกัน เพราะบางครั้งลูกค้าอยากไปฮาราจูกุ เพื่อจะไปซื้อสินค้าแบรนด์เนม แต่หลายคนดันพาไปถนนทาเคชิตะ ตรงหน้าสถานีรถไฟJR Haraku ก็เลยเจอแต่ของวัยรุ่นแถมยังเป็นวัยแรกรุ่นเสียอีก  กว่าจะเดินไปเจอแบรนด์โปรดก็หมดเวลาที่ให้ไว้เสียแล้ว วันหน้าวันหลังถ้าอยากจะไปเดินย่านสินค้าแบรนด์เนม ก็ให้ตรงดิ่งไปที่ถนนโอโมเทะซันโดเลย รับรองว่าได้ซื้อกันหนำใจหิ้วกันไม่หวาดไม่ไหวแน่นอนครับ
                อย่างที่เคยเขียนไว้แล้วว่าถนนโอโมเทะซันโดนั้น ตัดผ่ากลางตำบล Jingu Mae ออกเป็นตอนบนและตอนล่าง มีถนนเมจิที่วิ่งขึ้นมาจากย่านชิบุยะตัดขวาง ทำให้เกิดสี่แยกฮาราจูกุขึ้น โดยมีตึกLaforet และตึกGap โดดเด่นเป็นศรีของสี่แยก และถ้าคุณยืนหันหน้าเข้าหาตึกGapและหันหลังให้กับตึกLaforet ถนนที่วิ่งขนานตัวคุณอยู่ก็คือถนนโอโมเทะซันโดนั่นเอง
                ถนนโอโมเทะซันโดนั้น มีกูรูหลายท่านให้นิยามว่า เสมือนเป็นถนนชองป์เซลิเซ่ แห่งมหานครปารีส ซึ่งถ้ามองเผินๆก็พอจะมีส่วนคล้ายกันอยู่บ้างตรงที่ เป็นถนนที่มีบาทวิถีกว้าง ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่2ข้างทาง มีร้านรวงเรียงรายอยู่ตลอด แถมเป็นแบรนด์ดังเริ่ดหรูอีกด้วย แต่สำหรับผม ชองป์เซลิเซ่คือชองป์เซลิเซ่ไม่มีใครไปเปรียบเทียบได้ และโอโมเทะซันโดก็ไม่มีใครมาเทียบได้เช่นกัน เรียกว่าต่างมีดีและมีส่วนภายนอกที่คล้ายกัน แต่หากเดินให้ลึกซึ้งแล้ว คนละเรื่องคนละอารมณ์กันเลยครับ
                ถนนโอโมเทะซันโดจากสี่แยกฮาราจูกุลงไปจะวิ่งยาวไปชนกับถนนอาโอยามะ (Aoyama Dori)
ตลอด2ข้างทางอุดมไปด้วยตึกสวยร้านเด่นแบรนด์ดังแทบทั้งสิ้น ใครไม่ชอบช้อปแค่เดินเล่นดูตึกดูคนก็เพลินตาดี ยิ่งเป็นขาช้อปด้วยแล้วหากมีเวลาน้อยกว่า2ชั่วโมง อย่าไปให้โกรธตัวเองเลย แค่เดินจากสี่แยกไปจนชนถนนอาโอยามะแล้วเดินย้อนกลับมาทางอีกฝั่งนึงก็ต้องมีครึ่งชั่วโมงแล้วครับ ยังไม่นับเข้าร้านโน้นออกร้านนี้โดยไม่ต้องเลือกไม่ต้องซื้อก็หมด2ชั่วโมงแล้ว ถ้ารวมซื้อของชอบที่ตั้งใจไว้แล้วด้วยก็ควรมีซัก3ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย แต่คำแนะนำส่วนตัวของผมคือ4ชั่วโมงครับ เพราะนอกจากร้านค้าแบรนด์ดังแล้วร้านอาหารดีๆร้านขนมอร่อยๆบนถนนเส้นนี้มีให้คุณได้ลองลิ้มชิมรสกันอีกมากร้าน นี่ยังไม่นับรวมถนนมิยูกิที่อยู่เลยไปอีก ถ้ารวมแถบโน้นไปด้วย ก็ต้องใช้เวลาทั้งวันล่ะครับถึงจะทั่ว แต่ถ้าคุณแค่อยากเดินเล่นหรือแค่อยากจะเห็น ใช้เวลาซักชั่วโมงก็คงพอครับ
                แบรนด์หรูที่ตั้งอยู่บนถนนโอโมเทะซันโดนั้น มีทั้งแบรนด์ข้ามชาติและแบรนด์ท้องถิ่นที่ชาวโลกรู้จักกันดี ไล่กันตั้งแต่ฝั่งซ้ายไปก็มี Samantha Kingz, Ralph Lauren,  Morgan, Sisley, Marina Rinaldi, Celine, Donna Karan, Fendi และ Loewe เป็นแบรนด์สุดท้ายเกือบปลายถนน แต่ถ้าเริ่มจากฝั่งขวาก็ Camper, Ninewest, Agnes B, Dior, Bruno Magli, Burberry, Paul Stuart, Louis Vuitton, Emporio Armani, Max&Co, Tods, Shu Uemura, Hanae Mori และ Gucci ที่อยู่เยื้องๆกับLoewe ปิดท้ายที่ปลายถนนเช่นกัน นี่เฉพาะที่มีร้านและหน้าร้านให้เห็นกันชัดๆบนถนนใหญ่นะครับ ยังมีที่อยู่ในซอยและบนตึกอีกเยอะแยะ เช่น Anna Sui ใกล้ปากซอยCat Street, Marimekkoในซอยหลังร้าน Ralph Lauren และอีกสารพัดแบรนด์บนตึกโอโมเทะซันโดฮิลล์ อาทิ Bottega Veneta, Dolce&Gabbana, Jimmy Choo, Yves Saint Laurent และCHANELกับBVLGARI บนตึกGYREเป็นต้น
                พูดถึงตึกOmotesando HillsและตึกGYREแล้วก็ต้องขอบอกว่า ท่านที่เป็นสถาปนิก มัณฑนากรหรือดีไซเนอร์ ไม่ควรพลาดการมาเดินบนถนนโอโมเทะซันโดเป็นอย่างยิ่ง เพราะทั้ง2ตึกที่ว่าและอีกหลายๆตึกตลอดถนน ทั้งบนถนนใหญ่และในตรอกซอกซอยนั้นควรค่าที่จะเสียเวลาไปชมเป็นอย่างยิ่ง เพราะได้สถาปนิกระดับเทพหรือบริษัทระดับโลกมาออกแบบจนเป็นที่รู้จักกันไปทั่วญี่ปุ่นและทั่วโลก ซึ่งหาชมได้ยากเหลือเกินในบ้านเรา ถือว่าเป็นของแถมในการมาเดินย่านนี้ก็ได้ หรือจะถือเป็นภาระกิจหลักก็ไม่ผิดอันใดหากคุณจะมาถนนนี้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ
                Omotesando Hills เป็นผลงานการออกแบบของสถาปนิกระดับเทพของญี่ปุ่น คุณทะดาโอะ อันโดะ(Tadao Ando) ที่ผู้คนในวงการทั้งบ้านเราบ้านเขาต่างรู้จักกันเป็นอย่างดี งานของคุณอันโดมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นด้วยคอนกรีตเปลือยผสมผสานกับวัสดุอื่นๆและกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม คุณอันโดะเริ่มงานออกแบบมาตั้งแต่ปี1973  มาเริ่มดังเอาตอนออกแบบบ้านคอนกรีตเปลือยเรียบง่ายแต่โดนเต็มๆชื่อ Azuma House ในเมืองSumiyoshi จังหวัดโอซาก้าในปี1976 จนได้รับรางวัลจากสมาคมสถาปนิกญี่ปุ่น จากนั้นมาคุณอันโดะก็สั่งสมผลงานและชื่อเสียงจนได้รับรางวัลสูงสุดสำหรับสถาปนิกคือรางวัลPritzker Architecture Price ในปี1995 นับเป็นคนญี่ปุ่นคนที่3(และก็เป็นคนเอเชียเพียงชาติเดียว)ที่ได้รับรางวัลนี้ต่อจากคุณเคนโซ ทังเกะ (Kenzo Tange) ในปี1987 และคุณฟูมิฮิโกะ มากิ (Fumihiko Maki)ในปี1973
          และผลงานชิ้นล่าสุดของคุณอันโดะที่จะสะท้านโลกอีกครั้งในเร็ววันนี้ก็คือ หอโตเกียวแห่งใหม่ (New Tokyo Tower) ที่มีกำหนดเสร็จในปลายปี2011 และจะเปิดใช้งานในช่วงใบไม้ผลิของปี2012 โดยมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Tokyo Sky Tree เสร็จเมื่อไหร่ได้เอามาเล่าให้ฟังแน่นอนครับ
               

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น